ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 559 ตระกูลจ้าวยอมถอย

บทที่ 559 ตระกูลจ้าวยอมถอย

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดอย่างเย็นชา “ท่านยายจ้าวพูดเล่นแล้ว จะไปมีอำนาจหรือไม่อำนาจที่ไหนกัน”

ก่อนมา เขาก็รู้มาจากปากของจ้าวเฉิงเฉียนแล้ว ว่าคนตระกูลจ้าวมีความเห็นยังไง

อยากใช้การช่วยเหลือตัวเองต่อสู้กับตระกูลสวี เพื่อเป็นเดิมพัน

แล้วเชิญคุณปู่ตัวเองเพื่อมาเกลี้ยกล่อม

จำเป็นต้องเอาเขามาผูกมัดกับตระกูลจ้าวให้ได้เลยหรือ

“เจ้าเด็กนี่ ถ่อมตัวเหมือนกันนะ” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวหัวเราะ หรี่ตาคู่งามนั้น สังเกตมองหลินอิ่งอย่างละเอียด

“ทุกวันนี้ ในตี้จิงจะมีใครบ้างที่ไม่รู้จักคุณชายอิ่งล่ะ ชื่อเสียงโด่งดังกว่าใคร” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวมองหลินอิ่ง พูดอย่างใจเย็น

เธอสังเกตหลินอิ่งรอบหนึ่ง ยิ่งดู ในใจก็ยิ่งดูยิ่งพอใจ

ในใจคิดยายหนูหลินเอ๋อร์ไม่ได้เลือกคนผิด

จากประสบการณ์ชีวิตหลายสิบปีของเธอ สถานการณ์ใหญ่โตที่เคยพบเห็น ก็ต้องดูความแตกต่างของหลินอิ่งออกเป็นธรรมดา

เพียงแค่หลินอิ่งยืนตรงนั้น ก็มีราศีอันยับยั้งที่ทำให้ผู้คนเคารพนับถือที่แปร่งประกายออกมาเอง

ถึงแม้ว่า หลินอิ่งจะแสดงออกมาอย่างยังยั้งที่สุดแล้ว

“ก่อนหน้านี้ ฉันได้ยินยายหนูหลินเอ๋อร์พูดว่า เจ้าหนุ่มอย่างเราไม่ไว้หน้าเด็กผู้หญิงอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวมองหลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อีกอย่างเราอยู่ข้างนอกก็ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอื่น มีผู้หญิงข้างกายมากมาย คนตี้จิงต่างก็ลือกันว่าเราเจ้าชู้มาก แต่ไม่ว่ายังไง เราก็ยังไม่สนใจยายหนูหลินเอ๋อร์ เอาผู้หญิงของเราที่อยู่มณฑลตงไห่มาเป็นข้ออ้างแบบเป็นพิธี นี่เพื่ออะไรหรือ?”

ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าตระกูลจ้าวได้ยินจ้าวหลินเอ๋อร์มาระบายร้องทุกข์เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของหลินอิ่ง และให้คนไปสืบจากข้างนอกมาแล้ว ข้างกายหลินอิ่งมีผู้หญิงอยู่ไม่น้อยจริง

เรื่องนี้ ทำให้ในใจเธอก็โมโหอย่างมาก

ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไข่มุกในกำมือของตระกูลจ้าว กลายเป็นของราคาถูกแบบนี้? ถูกคนไม่แยแสแม้แต่น้อย?

สีหน้าหลินอิ่งไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย พูดว่า “ท่านยายจ้าว ผมแต่งงานหลายปีแล้ว เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากมีความเกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวหลินเอ๋อร์ สำหรับข่าวลือข้างนอก เชื่อไม่ได้”

“เหอะเหอะ” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวทำเสียงเย็นชา ส่ายหน้า ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของหลินอิ่งนัก “เราไม่ต้องปิดบังอะไรแล้ว ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว จะไม่เคยเห็นผู้ชายมีชู้หรือ โดยเฉพาะเรายังหนุ่มยังแน่น”

“พูดเถอะ เรามาตระกูลจ้าวครั้งนี้ แน่ใจว่าจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายให้ได้?” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวถามอย่างจริงจัง “ไม่มีช่องว่างให้เจรจาแม้แต่น้อย?”

พูดถึงเรื่องนี้ คนของตระกูลจ้าวในเหตุการณ์ สายตาต่างก็มองไปบนตัวของหลินอิ่ง

จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย ในใจไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ สายตาจ้องอยู่ที่หลินอิ่ง

“ใช่ ผมมาเพื่อจัดการเรื่องสัญญาหมั้นหมายในอดีต พูดทุกอย่างให้ชัดเจนต่อหน้าคนของตระกูลจ้าว” หลินอิ่งไม่ลังเลแม้แต่น้อย พูดอย่างเด็ดขาด “ผมก็ไม่หวังว่า ต่อจากนี้ตระกูลจ้าวจะเอาเรื่องสัญญาหมั้นหมายมาพูดอีก”

ได้ยินแล้ว แม่เฒ่าตระกูลจ้าวหรี่ตาเล็กน้อย จ้องหลินอิ่ง

“แคกแคก” จ้าวเทียนสงไอแห้งสองครั้ง มองไปที่ฉีเวิ่นติ่ง สีหน้าก็ไม่ค่อยดี

คำพูดของหลินอิ่งตรงเกินไป ไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย

นี่อยู่ในห้องโถงใหญ่ตระกูลจ้าว ไม่ได้ให้ทางลงกับตระกูลจ้าวเลยแม้แต่น้อย

ฉีเวิ่นติ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “อิ่งเอ๋อ เรื่องนี้ความจริงปู่ไม่ควรเกลี้ยกล่อมหลาน แต่ว่า ปู่ก็ยังอยากจะพูดสองคำ”

“เรื่องระหว่างหลานกับยายหนูที่มณฑลตงไห่ พวกเราต่างก็รู้แล้ว ได้ยินว่าครอบครัวเขาพยายามจะให้หลานหย่าร้าง ในเมื่อแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”

“ยายหนูหลินเอ๋อร์เหรอ เมื่อก่อนตอนที่หลานยังไม่ได้กลับมาตี้จิง ก็เข้ามาเยี่ยมที่ตระกูลฉีบ่อยครั้ง เพื่อถามถ่ายข่าวคราวของหลาน เป็นคนที่ใช้ได้” ฉีเวิ่นติ่งค่อยๆพูด “เท่าที่ปู่ดู หลานสามารถพิจารณาใหม่ได้ อย่าตัดสินเร่งด่วนแบบนี้”

หลินอิ่งเข้าสู่ความเงียบ ไม่ได้ไปคัดค้านคุณปู่ตระกูลตัวเอง

เรื่องอื่นๆ ขอแค่คุณปู่เปิดปาก ล้วนมีช่องว่างให้เจรจา

แต่ว่า หลินอิ่งยอมรับเมียเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือจางฉีโม่

ก่อนออกมาเข้าสู่โลก ในใจเขาก็ตัดสินแล้ว จะไม่มีวันทำให้ฉีโม่ผิดหวังเด็ดขาด

ทุกวันนี้ ถึงแม้จะมีเรื่องเข้าใจผิดกับฉีโม่ มีความบาดหมาง แต่เขาก็ไม่ยอม

ดั่งคำกล่าวที่ว่า เสียคำพูดต่อสตรี จะครองแผ่นดินได้อย่างไร?

“อิ่งเอ๋อ ปู่ไม่ได้จะบังคับให้เราตอบตกลงทันที หรือว่าจัดงานเพื่อแต่งจ้าวหลินเอ๋อร์” ฉีเวิ่นติ่งพูดอย่างจริงจัง “ก่อนหน้านี้เราก็ปฏิเสธคนอื่นเขาอย่างเย็นชาตลอด หรือไม่ ทั้งสองคนลองรู้จักคบหากันก่อน ต่างคนต่างทำความเข้าใจพูดคุยกันก่อน”

“อย่างน้อยก็รอให้เรารู้ใจของยายหนูหลินเอ๋อร์ก่อน รู้นิสัยของเขาก่อน ค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย แต่ไม่ใช่ ตัดสินใจยกเลิกสัญญาอย่างเด็ดขาดแบบนี้”

ฉีเวิ่นติ่งก็คิดอย่างรอบคอบแล้ว ถึงพูดคำพูดพวกนี้ออกมา

เขาก็คำนึงเพื่อหลินอิ่ง

ไม่ว่ายังไง คนตระกูลจ้าวก็ต้องเอาหน้าเหมือนกัน จะไม่เหลือทางลงให้ตระกูลจ้าวเลยไม่ได้

อีกอย่าง ยายหนูจ้าวหลินเอ๋อร์สำหรับเขา มองแล้วก็ถูกใจอย่างใจ คู่ควรกับหลานชายของตัวเอง

และเป็นเวลาสำคัญที่หลินอิ่งสู้รบกับตระกูลสวีพอดี ถ้าหากมีตระกูลจ้าวยืนออกมาให้ความช่วยเหลือ สามารถมีประโยชน์อย่างมาก

“อืม หลินอิ่ง ปู่ของเราก็พูดแล้ว สิ่งที่พูดก็ไม่ผิด” จ้าวเทียนสงเปิดปากพูด “ฉันได้ยินว่า เราไม่ยอมยายหนูหลินเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย อะไรนิดอะไรหน่อยก็ข่มขู่ตักเตือนเขา? นี่มันทำอะไรกัน? เรารังเกียจหลานสาวสุดที่รักของฉันขนาดนี้เลยหรือ?”

“ถ้าคนหนุ่มสาวอย่างเราสองคนก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่ยินยอมกันจริงๆ ค่อยยกเลิกสัญญาหมั้นหมายนี้ ถึงเวลา ตระกูลจ้าวของเราก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” จ้าวเทียนสงพูดอย่างจริงจัง

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวก็พยักหน้า พูดว่า “ถูกต้อง ผู้ใหญ่อย่างพวกเรานั้น เจรจากันแล้วก็มีความหมายตามนี้ สัญญาหมั้นจะยกเลิกไปง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ พวกเราผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ทำสัญญาหมั้นหมายไว้ยังอยู่นะ เราทำแบบนี้ นั่นมันผิดคุณธรรม”

“เสี่ยวอิ่ง เราก็ลองคบหากับยายหนูหลินเอ๋อร์ดูก่อน ทางด้านตระกูลสวี ฉันจะช่วยกดดันพวกเขาแทน หัวใจของเธอที่มีต่อเรานั้นไม่มีอะไรให้พูด ถ้าหากคบหากันได้ดี ก็เลือกวันมงคลเพื่อจัดงานเลย ถ้าหาเรามีตรงไหนที่ไม่พอใจเธอ ก็มาพูดกับฉันได้ ไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นยายเธอ”

“ส่วนเรา ก็ไม่ต้องเล่นความคิดอะไรพวกนั้นแล้ว อย่ามาพูดกับฉันว่าอะไรยังคิดถึงผู้หญิงมณฑลตงไห่คนนั้น เรื่องราวความเจ้าชู้ของเราที่ทำข้างนอกยังน้อยเหรอ? ฉันก็ไม่ถือสากับเราแล้ว ไม่ต้องมาใช้วิธีกลยุทธ์แสร้งอะไร มาทำกับยายหนูหลินเอ๋อร์อีก”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวค่อยๆพูด หรี่ตามองหลินอิ่ง

เท่าที่เธอดูแล้ว หลานสาวสุดที่รักของตระกูลเขา นั่นก็เพราะตกหลุมพรางของหลินอิ่ง

คุณชายอิ่งที่มีผู้หญิงโอบล้อมมากมายขนาดนั้น จะไม่มีใจให้จ้าวหลินเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย? นี่มันการแผนการชัดๆ

ถ้าหากไม่ใช่มีสัญญาหมั้นหมายอยู่ หลายสาวสุดที่รักของบ้านตัวเองก็ชอบหลินอิ่งขนาดนั้น

บวกกับ หลินอิ่งไม่ธรรมดาจริงๆ คนรุ่นเดียวกันหาที่ดีหว่าไม่ได้แล้ว เข้าสู่สายตาของเธอแล้ว

มิเช่นนั้น ด้วยความสามารถของตระกูลจ้าว ทำไมถึงต้องมาเจรจาดีๆอย่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งแบบนี้?

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เงียบไม่พูดอะไร

“เป็นยังไง? ตระกูลจ้าวของเราถอยให้แล้ว เสี่ยวอิ่ง นี่เป็นวิธีที่ประนีประนอมอย่างหนึ่ง” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเราตกลงแล้ว ทางด้านตระกูลจ้าวก็ต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่แน่นอน จากนี้ไป ฉันจะให้ยายหนูหลินเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายเรา พวกเราสองคนก็สานสัมพันธ์กันดีๆ อยู่กันนานแล้ว ก็มีความรักต่อกันเอง”

พูดถึงตรงนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์แก้มแดงก่ำ แววตาเลื่อนลอยมองหลินอิ่ง

เธอคิดอยู่ ตระกูลจ้าวยอมถอยขนาดนี้แล้ว หลินอิ่งน่าจะยินยอมมั้ง?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท