ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 574 ความสามารถดุดันโหดร้าย

บทที่ 574 ความสามารถดุดันโหดร้าย

“แคกแคก แก แกเป็นใคร? ทำไมถึงรู้ว่า พวกเราคือคนที่คุณชายอิ่งส่งมา……”

หวงชิงซานไอเป็นเลือดออกมาสองครั้ง มองกงจิ่วด้วยหน้าซีด ถามด้วยสีหน้าสงสัยอย่างมาก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน……”

เย่เฮยก็ลุกขึ้นมา เลือดไหลจากมุมปาก จ้องหน้ากงจิ่วดุจศัตรูใหญ่

คนต้าเหอที่ปรากฏตัวกะทันหัน ดุดันโหดร้ายเกินไป ลึกซึ้งไม่อาจคาดเดาได้

เพียงแค่ฝ่ามือเดียว ก็ทำให้พวกเขาสองคนกระเด็นออกไป ความสามารถไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

นี่ทำให้ในใจของทั้งสองคนมีความรู้สึกถึงวิกฤตอันใหญ่หลวง

“เหอะเหอะ……ไอ้กระจอกสองตัว ช่างใจกล้าล้นฟ้าจริงๆ”กงจิ่วหัวเราะอย่างโหดร้าย ดูเหมือนไม่ได้มีหวงชิงซานและเย่เฮยอยู่ในสายตาเลย

เขาหมุนตัวไปช้าๆ บีบคางของจั่วฉวนและจั่วซงไว้ทันที หมุนกระดูกไปมาหลายครั้ง

หลังจากคักคักสองเสียง

จั่วฉวนและจั่วซงดูเหมือนฟื้นฟูเรี่ยวแรงแล้ว ค่อยๆลุกขึ้น ก้มหน้าให้กับกงจิ่ว

“คุณกง ผม พวกเรา……”

“คุณกง ขอโทษ ไม่สามารถทำงานให้ท่านสำเร็จ”

จั่วฉวนและจั่วซงพูดขอโทษ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ถ้าหากหัวหน้ากงจิ่วไม่ได้มาทันเวลา พวกเขาสองคนก็จบแน่

“พวกแกสองคนไร้ประโยชน์ ถูกคนจับตาอยู่ยังไม่รู้ตัว”กงจิ่วตะโกนด่าด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นหันไปมองเย่เฮยสองคน ในตาส่อแววสังหาร

“หัวหน้าพวกแกหลินอิ่ง หาฉันอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ”กงจิ่วหัวเราะเย็นชา “ฉันก็คือกงจิ่ว พวกแกมาจับลูกน้องฉันที่นี่ ไม่ใช่เพราะอยากหาฉันเหรอ?”

กงจิ่วท่าทางถูกอย่างอยู่ในการควบคุม เสมือนรู้เรื่องพวกนี้อย่างแจ่มแจ้ง

หลังได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว

สีหน้าของเย่เฮยและหวงชิงซานก็เปลี่ยนไปจากปกติอย่างมาก

กงจิ่ว นี่คือผู้นำสูงสุดของสำนักยุทธเชียนที่หลินอิ่งสั่งให้พวกเขาไปหา

คนคนนี้ในข่าวกรองเท่าที่มีอยู่ ความสามารถแข็งแกร่งอย่างมาก

ที่สำคัญที่สุด คือเย่เฮยและหวงชิงซานได้รับข่าวกรองแล้ว ก็รีบมาลงมือเป็นอันดับแรกเลย ไม่มีโอกาสที่ข่าวจะรั่วไหลได้

กงจิ่วทำไมถึงมาอย่างกะทันหัน?

กงจิ่วรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นคนที่หลินอิ่งส่งมา?

“พวกแกสองคนก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่ใช้ได้แล้ว สามารถทำร้ายผู้ปกปักรักษาสองคนข้างกายฉันได้ขนาดนี้ ลงมือโหดและเร็วพอ”กงจิ่วพูดและหัวเราะอย่างเย็นชา “แต่เสียดาย ถูกฉันคาดการไว้ล่วงหน้า”

พูดจบ กงจิ่วก็ชักมีลายเบญจมาศออกมาทันที ร่างดั่งสายลมพุ่งเข้าไปฆ่า

ร่างของเขาเคลื่อนไหวไม่คงที่ดุจปีศาจร้าย ท่าเดินดูเหมือนช้ามาก แต่กลับก้าวออกไปสิบเมตรในชั่วพริบตา เหลือไว้เพียงเงาที่ทำให้คนตาลาย

“พวกนายถอยออกไป”

เย่เฮยตะโกนพูดกับยอดฝีมือทั้งหลาย รวบรวมกำลังภายใน พุ่งออกไปอย่างแรง

ยอดฝีมืออดีตองครักษ์มังกรดำหลายคนถอยออกไปด้านหนึ่ง ไม่ได้เข้าร่วมการสู้รบของยอดฝีมือระดับนี้

อย่างไรเสีย ระหว่างที่รบกันพัลวัน ยอดฝีมือทั้งหลายก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ อาจจะสูญเสียคนไปโดยสูญเปล่าก็ได้

เป็นไปตามนั้น เย่เฮยและหวงชิงซานอดกลั้นอาการช้ำใน อดทนสู้รับมือกับกงจิ่ว

ตังตังตัง

เสียงโลหะกระทบกันดังมาไม่ขาดสาย ภายในสภาพแวดล้อมอันมืดมิดแสงไฟกระจัดกระจาย แรงสังหารอันน่ากลัว

หวงชิงซานและเย่เฮยใช้สุดแรง คนหนึ่งใช้หมัดอันแข็งแกร่งรุกไม่อั้น อีกคนใช้ฝ่ามืออันดุเดือดรุนแรง สู้ล้อมอยู่ซ้ายขวา กลับยังถูกกงจิ่วบีบจนถอยไปเรื่อยๆ

เห็นเพียงแค่ กงจิ่วกดดันเขาสองคน มีดลายเบญจมาศในมืดใช้อย่างยอดเยี่ยม แต่ละมีดประกายเจิดจ้า เหมือนดั่งลมฝนอันรุนแรง น้ำพุที่ไหลเชี่ยว ฆ่าฟันจนเย่เฮยและหวงชิงซานต้องถอยหลัง ใช้พลังกำลังภายในอันแข็งแกร่งต่อสู้

สถานการณ์แบบเหนือชั้นกว่า

ความสามารถอันแข็งแกร่งของกงจิ่วกดทับเย่เฮยทั้งสองคนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายในหรือฝีมือการต่อสู้ ล้วนเหนือกว่าระดับหนึ่ง

หนึ่งต่อสองไม่เสียแรงเลยแม้แต่น้อย

เวลาสั้นๆเพียงสองนาที เย่เฮยทั้งสองคนก็ถูกไล่ฆ่าไปไกลร้อยเมตร

ซี๊ด

พู่

ทันใดนั้น กงจิ่วสะบัดมีดเปลี่ยนท่า เปลี่ยนมือฟันด้วยมีดสองเล่ม แสงคมของมีดทำให้เกิดเงา ทำให้ชุดยาวของเย่เฮยทั้งสองคนฉีกขาดกระจุยกระจาย เกิดเสียงดังกึกก้องกลางอากาศสองครั้ง

ปัง ปัง

ฉวยโอกาส กงจิ่วก็ถีบออกไปสองครั้ง โดนที่กลางอกของเย่เฮยและหวงชิงซาน ถีบจนทั้งสองกระเด็นออกเหมือนลูกโป่ง ลอยไปไกลหลายสิบเมตร ล้มโคร่งลงไปไกลหลายสิบเมตร กระแทกพื้นแตกเป็นหลุมใหญ่สองหลุม

“เอื้อก”

เย่เฮยร้องออกมาเสียงอัดอั้น เลือดไหลออกจากปาก บนหน้ามีอาการสีหน้าเจ็บปวด

หวงชิงซานก็สีหน้าซีดขาว พยุงตัวด้วยมือข้างเดียว เลือดไหลทั่วร่าง

กงจิ่วใช้แค่สองมีด ก็รู้แพ้รู้ชนะแล้ว

มีดหนึ่งฟันลงไปที่ไหล่ของเย่เฮย เป็นรอยมีดฉีกขาดเส้นยาว บาดแผลน่าหวาดกลัว เลือดไหลดุจสายฝน

มีดหนึ่งทิ่มลงไปที่ซี่โครงหวงชิงซาน บาดแผลลึกมาก เหมือนดั่งบ่อเลือด เห็นกระดูกได้

ต้องรู้ว่า จากความสามารถในวิชาการต่อสู้ของเย่เฮยและหวงชิงซานแล้ว กำลังภายในอันแข็งแกร่ง ถึงแม้รถบรรทุกทับ อย่างมากก็แค่มีแผลถลอกภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนกงจิ่ว ภายในเวลาสั้นๆไม่กี่นาที ก็ทำให้ยอดฝีมือทั้งสองเจ็บหนัก

มุมปากกงจิ่วยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ยื่นมือเช็ดเลือดบนมีดลายเบญจมาศ วางไว้ข้างปากลิ้มชิมรสชาติ ดูแล้วดุร้ายโหดเหี้ยม

“หลินอิ่งส่งพวกแกมา อยากจับลูกน้องของฉัน เพื่ออยากสอบถามข่าวกรอง?”กงจิ่วหัวเราะเย็นชามองดูเย่เฮยทั้งสอง “เสียดายที่เขาคาดการผิดแล้ว ฉันก็หันกลับมาจับพวกแกสองคน ค่อยๆทรมานสอบถามข่าวกรองลับของหลินอิ่ง……”

“เหอะ”

พูดจบ กงจิ่วก็หัวเราะเย็นชา จับมีดลายเบญจมาศไว้ ค่อยๆเดินทีละก้าว เข้าใกล้เย่เฮยทั้งสองคน

เย่เฮยและหวงชิงซานสีหน้าเคร่งเครียด มองหน้าสบตากัน

ยอดฝีมือองครักษ์มังกรดำหลายคน ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา แต่ละคนสายตาเคร่งขรึมอย่างสุดขีด กำหมัดไว้แน่น

บาดแผลของเขาสองคนไม่ถึงตาย แต่ว่า ถึงแม้จะรวมกับยอดฝีมือหลายคนที่อยู่ข้างกาย เผชิญหน้ากับกงจิ่วก็ไม่มีความสามารถในการตอบโต้แล้ว……

เสียงฮู๊ว

เวลานี้ มีสายลมบางเบาเคลื่อนไหว

“อือ?”

กงจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ในแววตาส่อแววแรงสังหาร หันหน้ามองไปซ้ายขวา

“ทำไม? แก๊งหยางเหมินของพวกแกอยากเข้ามายุ่งกับความวุ่นวายนี้เหรอ?”

กงจิ่วมองไปทางบันไดขวามือที่ไร้คน ถามอย่างเย็นชา

ตั๊ก ตั๊ก ตั๊ก

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเงียบวิเวก มีเสียงฝีเท้าของหลายคนดังขึ้น

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเย็นชา พาหม่าผิงชวนและเผยหวูหมิงเดินออกมาจากบันได

ชายหนุ่มบุคลิกไม่ธรรมดากลุ่มหนึ่ง เดินตามจากข้างหลัง จัดแถวเรียงหนึ่ง

“ออ?”กงจิ่วมองจ้าวเฉิงเฉียนอย่างสนใจ “นายน้อยแก๊งหยางเหมิน? คุณมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง?”

“บทเรียนอันสาหัสที่ให้คุณครั้งที่แล้ว ยังลึกไม่พอใช่ไหม? ยังกล้ามาหาเรื่องกับสำนักยุทธเชียนของเรา?”กงจิ่วถามเสียงเย็นชา

“เรื่องครั้งที่แล้วยังไม่ได้สะสางบัญชี แก๊งหยางเหมินของเรา เคยเสียเปรียบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตา ถาม “กงจิ่ว แกไปเอาข่าวกรองมาจากไหน ถึงรีบมาถึงได้?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท