ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 579 ความสุขอันไม่คาดฝัน

บทที่ 579 ความสุขอันไม่คาดฝัน

แม่น้ำตี้ กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เรือเร็วที่จอดอยู่กลางแม่น้ำเพลิงไหม้อย่างรุนแรง

ท่ามกลางหมอกควันอันพลุ่งพล่าน

เงาร่างคนร่วงลงมาดั่งดาวตก ลอยอยู่กลางอากาศ ร่วงลงข้างแม่น้ำ

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชา หันกลับไปมองซากเรือเร็ว

หลังจากการระเบิด บนร่างกายเขา ไม่ได้เปื้อนแม้แต่น้ำหยดเดียว ไม่เปื้อนแม้แต่ฝุ่น

กงจิ่ว ในที่สุดก็ตายแล้ว

ยาถอนพิษ ก็เอามาไม่ได้

นี่ก็คือจุดเซ้าซี้ของอำนาจมืดแห่งประเทศต้าเหอ

ร้ายอาจอย่างสุดขีด อำมหิตอย่างสุดขีด

“คุณชายอิ่ง ทางคุณจับตัวกงจิ่วได้ไหม?”

เวลาเดียวกัน พวกจ้าวเฉิงเฉียน รีบมาจากอาคารร้าง

จ้าวเฉิงเฉียนมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“กงจิ่วตายบนเรือแล้ว”

หลินอิ่งมองไปที่พวกเขา พูดอย่างเรียบเฉย

จ้าวเฉิงเฉียนมองไปที่ซากเรือเร็วบนแม่น้ำ หนังตากระตุกเล็กน้อย ในแววตามีประกายแห่งความตะลึง เงียบไม่ออกเสียง

พวกหม่าผิงชวน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ

ด้วยสายตาของพวกเขา มองเห็นซากเรือเร็วบนแม่น้ำ ธรรมดาแล้วก็คาดการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทันที

แล้วดูหลินอิ่งยืนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยไร้การสูญเสีย เสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัว ไม่มีรอยเปียกแม้แต่น้อย แม้แต่ฝุ่นก็ไม่เปื้อน

ทุกคน ในใจหวาดผวาอย่างขีดสุด ต่างก็เข้าสู่ห้วงแห่งความเงียบ

พวกเขาเข้าใจกันแล้ว

หลินอิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า มีอยู่เหมือนดั่งเทพอย่างแท้จริง

“คุณหลิน จั่วฉวนและจั่วซงคนต้าเหอสองคนนั้น จับตัวไว้แล้ว”เย่เฮยรายงานอย่างเคารพ “สองคนนี้ ช่วยกงจิ่วดูแลวัตถุดิบยาพิษรุนแรงอันมีค่าชุดหนึ่ง ในอาคารร้างแห่งนี้”

“ออ?”หลินอิ่งรู้สึกสนใจ แล้วมองไป

ข้างกายเย่เฮย มีคนต้าเหอคุกเข่าอยู่สองคน

จั่วฉวนและจั่วซง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดหมดแล้ว ถูกเย่เฮยใช้เครื่องทรมานสารพัด ถูกทรมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว เหลือไว้เพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย

คนต้าเหอสองคน สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดผวา มองหลินอิ่งอย่างหดหู่ อ้ำๆอึ้งๆอยากพูดอะไรสักอย่าง

“เย่เฮย สอบอะไรออกมาได้บ้างไหม?”หลินอิ่งถามอย่างจริงจัง

“คนต้าเหอสองคนนี้เปิดปากแล้ว บอกว่าพวกเขารู้วิธีถอนพิษงูจิ่วเจ๋ ยังบอกอีกว่า คนที่กงจิ่ววางยา เป็นสูตรยาพิษที่พวกเขาสองคนวิจัยออกมา”เย่เฮยพูดอย่างเคารพ “เพียงแค่ ผมไม่กล้าตัดสินความจริงเท็จของสองคนนี้”

“สองคนนี้บอกว่ายินยอมมอบสูตรถอนพิษให้ ขอเพียงให้พวกเขาตายด้วยวิธีง่ายๆ”

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งสีหน้าเป็นเล็กน้อย

“เย่เฮย ให้พวกเขาสองคนเปิดปากพูด”

“ครับ”

เย่เฮยพยักหน้า เดินเข้าไป จับคอของจั่วฉวน หมุนไปทีหนึ่ง เสียงหมุนของเอ็นและกระดูกดังคักคัก

“แคกแคก”

จั่วฉวนกระอักเลือกออกมาหลายครั้ง หอบไปหลายครั้ง

“ฆ่าผมเถอะ ผม ผมรู้สูตรพิษงูจิ่วเจ๋……”จั่วฉวนพูดอย่างหายใจหอบ “ขอร้องพวกคุณ ผมบอกคุณ ให้ผมตายอย่างรวดเร็ว”

“พูด”

หลินอิ่งมองจั่วฉวนด้วยสายตาเย็นชา พูดคำเดียวอย่างเย็นชา

“อยู่ อยู่ในตู้นิรภัยเลขที่566ในอาคารร้าง มีสูตรที่ชื่อรหัสว่าC นั่นก็คือยาถอนพิษงูจิ่วเจ๋ให้หายเป็นปกติ”จั่วฉวนพูด “ผม ผมไม่ได้พูดโกหก คุณ คุณก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ สามารถไปลองดูได้”

จั่วฉวนถูกเย่เฮยทนมานจนไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว มองหลินอิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการรอคอย แค่อยากตายไปอย่างรวดเร็วไปเลย

เย่เฮย เป็นหัวหน้าองครักษ์มังกรดำในอดีต ควบคุมสิทธิ์การฆ่า ดูแลเรื่องการลงโทษโดยเฉพาะ วิธีการลงโทษนั้นทำให้คนเดือดดาลอย่างที่สุด

หน่วยกล้าตายอย่างจั่วฉวนแบบนี้ ขอแค่โดนจับเป็นแล้ว ต้องทนการบีบบังคับสอบถามไม่ไหวแน่

“เย่เฮย พาคนไปนับสินค้าวัตถุดิบยาทั้งหมดในอาคารนี้ให้ชัดเจน เอาของให้เรียบร้อย ค่อยส่งคนมาเคลียร์พื้นที่”หลินอิ่งพูดสั่งอย่างหนักแน่น “ท่านปู่หวง คุณจับตัวสองคนนี้ไว้ ให้ยายื้อชีวิตกับพวกเขา อย่าทำให้ตาย เก็บไว้ยังมีประโยชน์”

“ครับ”

เย่เฮยและหวงชิงซานต่างก็พยักหน้าอย่างเคารพ ไปทำงานตามที่หลินอิ่งสั่งทันที

คนหนึ่งพายอดฝีมือหลายคนรีบเข้าไปในอาคารร้าง คนหนึ่งลากตัวจั่วฉวนและจั่วซงออกไป

สั่งทั้งสองคนเสร็จแล้ว สภาพจิตใจของหลินอิ่งดีขึ้นไม่น้อย

ดูท่าทางของจั่วฉวนแล้ว น่าจะไม่ผิดแน่

จากระดับตำแหน่งของจั่วฉวนและจั่วซงในสำนักยุทธเชียน เป็นมือซ้ายมือขวาของกงจิ่ว เป็นไปได้ที่จะรู้สูตรของยาถอนพิษ

กลับไปแล้ว เขาปรุงสูตรเองหนึ่งรอบ ก็รู้จริงหรือเท็จแล้ว

ถ้าหากแน่ใจว่าเป็นยาถอนพิษงูจิ่วเจ๋จริง ปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่าสำเร็จสมบูรณ์แล้ว

คิดไป แววตาอันเฉียบคมของหลินอิ่งมองไปที่จ้าวเฉิงเฉียน

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งเครียด เข้าใจความหมายของหลินอิ่ง

“พวกคุณออกไปก่อน”

จ้าวเฉิงเฉียนสั่งไปประโยคหนึ่ง

หม่าผิงชวนและเผยหวูหมิง ถอยออกไปอย่างเข้าใจ พายอดฝีมือแก๊งหยางเหมินสิบกว่าคนที่อยู่ไกล ถอยออกห่างไปร้อยเมตร

“คุณชายอิ่ง ครั้งนี้ ขอโทษด้วย ข่าวกรองที่ผมให้เกิดปัญหานิดหน่อย”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ก่อนเกิดเหตุ กงจิ่วไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน”

“คืนนี้กงจิ่วปรากฏตัว เป็นเหตุสุดวิสัย อีกอย่าง การมาของกงจิ่ว ผมคิดว่าเกิดความผิดพลาดทางผม ข่าวคราวรั่วไหล นี่เป็นความผิดของผม”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างไม่อ้อมค้อม

ในใจเขารู้ดี ถึงระดับอย่างหลินอิ่ง ปิดบังต่อหน้าหลินอิ่ง ไม่มีความจำเป็นเลย กลับสร้างให้เกิดความระแวงได้

หลินอิ่งไตร่ตรองครู่หนึ่ง พูดเรียบเฉย “เกิดปัญหาภายในของคุณ ทางที่ดีคุณจัดการให้ชัดเจน”

“อีกอย่าง กงจิ่วตายแล้ว สำนักยุทธเชียนไม่ยุติอย่างแน่นอน”หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “ตี้จิงยังมีคนต้าเหอกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่”

“ใช่ องค์กรสำนักยุทธเชียนนี้ สูญเสียผู้นำใหญ่อย่างกงจิ่วไปคนหนึ่ง ต้องส่งคนมาจากประเทศต้าเหอเพื่อมาแทนตำแหน่งเขาแน่นอน”จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ภายในแก๊งหยางเหมิน ผมจะกวาดล้างภายใน หาหนอนบ่อนไส้เจอแล้ว ผมจะส่งไปให้คุณชายหลินจัดการ”

“ส่วนคนต้าเหอในตี้จิง ผมจะให้ลูกน้องกวาดล้างให้หมดจด รอคนของคุณ ขุดข่าวกรองทั้งหมดมาจากปากของจั่วฉวนและจั่วซง”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย จ้าวเฉิงเฉียนเป็นคนโปร่งใส่ แค่พูดก็เข้าใจ

“คุณชายอิ่ง กงจิ่วตาย ผมต้องแสดงความยินดีกับคุณ ได้เมืองเทียนหลงมาแล้ว”จ้าวเฉิงเฉียนพูดประจบไปประโยคหนึ่ง

“ใช่ ไม่มีกองกำลังของกงจิ่วค่อยช่วยเหลือในที่ลับ ตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ป เสาต้นเดียวหรือจะค้ำตึกหลังใหญ่ได้”หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “คุณเตรียมส่งคนเข้าประจำเมืองเทียนหลง ไม่นานผมจะรับทุกอย่างมาดูแล”

ลำพังชีซิงกรุ๊ปและตระกูลสวี ไม่เพียงพอที่ต้องห่วง ถึงแม้ตระกูลสวียังมียอดฝีมือในแวดวงลึกลับ ก็ทำอะไรไม่ได้”

เพียงแค่ ต้องใช้โอกาสก่อนที่สำนักยุทธเชียนส่งคนมาวางเค้าโครงอีกครั้ง จัดการกวาดล้างอิทธิพลเสื่อมโทรมของอำนาจทั้งสองฝ่ายให้เร็วที่สุด เพื่อกันปัญหาแทรกซ้อน

“ตอนนี้ จ้าวเฉิงเฉียน คุณสามารถพูดเรื่องของตระกูลเผยมณฑลจี้โจวกับผมได้”หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ตระกูลเผยจี้โจว เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ถึงมีโอกาสยึดครอบครองในทีเดียว?”

นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่หลินอิ่งใส่ใจมาก

เขารู้ว่าตระกูลเผยแห่งจี้โจว มีอำนาจไม่น้อยในแวดวงลึกลับ

แวดวงลึกลับประเทศหลุงตระกูลแห่งศิลปะการต่อสู้ทั้งหก สืบทอดมาร้อยปี ยืนหยัดไม่ล้ม

ตระกูลเผยจี้โจว จัดอยู่ในตระกูลแห่งศิลปะการต่อสู้ทั้งหก

ผู้อาวุโสตระกูลเผย เผยเส่ยี ยังครอบครองที่นั่งในรายการแห่งฟ้าของประเทศหลุง เมื่อก่อน เขาเองก็เคยไปมาหาสู่กับบรรพบุรุษตระกูลเผย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท