ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 572 กงจิ่วปรากฏตัว

บทที่ 572 กงจิ่วปรากฏตัว

“หลินอิ่งคนนี้ ลึกลับไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ”จ้าวเฉิงเฉียนก็พูดอย่างถอดถอนใจเล็กน้อย “ไม่เพียงแค่ที่มาของเขาไม่อาจคาดเดาได้แล้ว แม้แต่ลูกน้องในมือก็ยังลึกลับขนาดนี้”

“ยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินที่ไม่รู้เบื้องหลัง โดดเด่นราวกับโผล่มาจากฟ้า”จ้าวเฉิงเฉียงพูดอย่างใจเย็น “ผมสงสัยจริงๆ หลินอิ่งคนนี้ ยังกำไพ่ไว้ในมืออีกเท่าไหร่กันแน่”

ยอดฝีมือระดับรายการดิน ในโลกนี้สามารถเป็นแขกผู้มีเกียรติของเหล่าตระกูลชั้นสูงอย่างง่ายดาย

ยอดฝีมือระดับนี้ ขอแค่ยินยอม จะครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ทำไมถึงได้ยินยอมทำงานเป็นลูกน้องคนอื่น?

โดยเฉพาะ หลินอิ่งยังเป็นคนไร้ชื่อเสียงในแวดวงลึกลับ…….

“นายน้อย ท่านสามารถดูออกหรือไม่ ว่าเบื้องหลังวิชาการต่อสู้ของสองคนนี้มาจากไหน?”เผยหวูหมิงพูดอยู่ด้านข้าง “ผมกับเหล่าหม่า ต่างก็ดูอะไรไม่ออกเลย”

จ้าวเฉิงเฉียนไตร่ตรองครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “ชายหนุ่มที่ใส่ถุงมือสีเงินคนนั้น วิธีการต่อสู้แปลกมาก เปลี่ยนแปลงหลากหลาย จากประสบการณ์ในแวดวงลึกลับของผม ไม่เคยได้ยินและพบเห็น”

“ส่วนคนแก่ที่กำลังภายในทรงพลังคนนั้น ผมพอดูออกบ้างเล็กน้อย”จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยมุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“คนแก่คนนี้ วิธีการต่อสู้วุ่นวายมาก โดยเฉพาะวิชากำลังภายในทรงพลังอย่างมาก เพียงแค่ดูเหมือนเคยได้รับบาดเจ็บภายใน ดูแล้วท่วงท่าไม่ค่อยมั่นคงลื่นไหลนัก ช่วงที่เขารุ่งเรืองที่สุด ต้องเป็นความสามารถระดับรายการดินอย่างแน่นอน”จ้าวเฉิงเฉียนพูดตัดสิน “โดยเฉพาะ วิชาหมัดที่คนแก่นี้ใช้ ถ้าผมดูไม่ผิด น่าจะเป็นหมัดเทียนกัง”

“หมัดเทียนกัง?”

หม่าผิงชวนและเผยหวูหมิงสีหน้าเปลี่ยน แววตาประหลาดใจเล็กน้อย มองหน้าสบตากัน

“นายน้อย ท่านหมายความว่า?”หม่าผิงชวนพูดอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “คนแก่คนเป็นคนที่ชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงลึกลับเมื่อสิบกว่าปีก่อน ลำดับที่สามสิบสองในรายการดินหมัดเทียนกังหวงชิงซาน?”

“ชื่อหมัดเทียนกังนี้ผมก็พอเคยได้ยินบ้าง”เผยหวูหมิงพูดอย่างเชื่องช้า “เท่าที่ผมรู้ หมัดเทียนกังหวงชิงซานไม่ได้ปรากฏตัวในยุทธจักรนานแล้ว หลังจากการเปลี่ยนรายชื่อรายการดินครั้งที่แล้ว ชื่อของเขาก็หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงตำนาน”

ยี่สิบปีก่อน หมัดเทียนกังหวงชิงซานเป็นคนโหดหน้าใหม่ในแวดวงลึกลับอย่างแน่นอน ห้าสำนักห้าแก๊ง รวบรวมคนในยุทธจักรก่อตั้งอำนาจขึ้นมาที่ไม่เล็กเลย สู้ขึ้นไปถึงรายการดินในแวดวงลึกลับ

เพียงแค่ต่อมา ก็หายสาบสูญจากยุทธจักร

“เหอะเหอะ เหล่าหม่า ยังคงเป็นคุณที่รอบรู้เยอะหน่อย หวงชิงซานน่าจะเป็นคนในยุทธจักรรุ่นเดียวกับคุณ”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ในอดีต ที่นั่งลำดับในรายการแห่งดินดูเหมือนจะสูงกว่าคุณนิดหนึ่ง”

หม่าผิงชวนพยักหน้า พูดว่า “ถึงแม้ว่าไม่เคยเผชิญหน้ากับหวงชิงซาน แต่สมัยผมยังหนุ่ม แน่นอนว่าเขาโดดเด่นยิ่งกว่า”

“ผมจำหน้า สมัยหลายปีโน้นหวงชิงซานก่อตั้งโรงเรียนเทียนกัง รับลูกศิษย์หลายคน ยังมีลูกศิษย์อยู่ในแวดวงลึกลับ ถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร หลายปีนี้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีชื่อเสียงของโรงเรียนเทียนกังแล้ว”หม่าผิงชวนพูดอย่างครุ่นคิด

ถึงแม้หวงชิงซานจะถอนตัวนานแล้ว แต่ยังเคยก่อตั้งโรงเรียนเทียนกัง มีลูกศิษย์อยู่ในแวดวงลึกลับอยู่หลายคน อย่างน้อยก็ยังพอมีตัวตนอยู่ไม่น้อย

ทุกวันนี้ หายไปจากแวดวงลึกลับอย่างสิ้นเชิง

“การเปลี่ยนแปลงระหว่างนี้ คงมีเพียงหวงชิงซานและหลินอิ่งเท่านั้นที่รู้”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างใจเย็น “ไม่ว่ายังไงหวงชิงซานก็เป็นยอดฝีมือรุ่นอาวุโส ลูกศิษย์มากมาย หลินอิ่งกลับสามารถทำให้เขาทำงานให้ ไม่ธรรมดา”

“นี่มัน นายน้อย หวงชิงซาน เป็นไปได้ไหมว่าหลินอิ่งใช้ไพ่ตายของตระกูลฉี? เชิญออกมา?”หม่าผิงชวนพูดคาดคะเนต่อ

จ้าวเฉิงฉียนหัวเราะ พูดว่า “ครั้งที่แล้วตระกูลฉีถูกตระกูลเหวินฆ่าล้างตระกูลแล้ว ยังจะไปมีเบื้องหลังอะไรอีก?”

“หลังจากหลินอิ่งกลับสู่ตี้จิงแล้ว ตระกูลฉีที่ได้กลับมานั้นก็มีแค่เปลือก มีอุตสาหกรรมการเงินเท่านั้น ไม่มีรากฐานอะไรของตระกูลชั้นสูงเลย พึ่งเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น”จ้าวเฉิงเฉียนค่อยๆพูด “ถึงแม้ตระกูลฉีจะมีเบื้องหลังอะไรอยู่บ้าง พ่อของหลินอิ่ง ครั้นนั้นที่เปิดศึกกับตระกูลเหวิน ก็ใช้ความสัมพันธ์จนหมดสิ้นแล้ว”

หม่าผิงชวนพยักหน้า เห็นด้วยกับวิธีการพูดของจ้าวเฉิงเฉียน

“อย่าลืมนะ ว่านายหรงหยัง ก็มาที่ตี้จิงจากเมืองก่าง ถูกหลินอิ่งส่งไปทำงานที่เขตหัวหยาง”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างใจเย็น “หลินอิ่งแม้แต่หรงหยังก็ไม่ได้เรียกมา แม้กระทั่งยอดฝีมือของตระกูลนิ่งก็ไม่ได้เรียกใช้”

“นายน้อย ความหมายของท่านคือ? พวกเราจะหาหรงหยังในตี้จิงสักหน่อยไหม? ตักเตือนเขาหน่อย?”เผยหวูหมิงพูดแนะนำ “คนคนนี้หักหลังแก๊งหยางเหมิน เปลี่ยนชื่อสำนัก ถึงแม้ไม่ฆ่ามัน ก็ต้องตักเตือนสักหน่อย”

“เหอะ เสี่ยวเผย นายยังคงอายุน้อยเกินไป”จ้าวเฉิงเฉียนส่ายหัวพูด

“ตอนนี้หลินอิ่งกับนายน้อยเป็นสัมพันธมิตรกัน เรื่องเล็กๆอย่างหรงหยัง จะไปกระทบแผนการใหญ่ของนายน้อยได้ยังไง?”หม่าผิงชวนพูดเคร่งขรึม “นายต้องมองการณ์ไกลหน่อย”

“เหล่าหม่า ยังคงเป็นคุณที่หนักแน่น”จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้าพูด

“มิได้ นายน้อย ท่านต่างหากที่สายตายาวไกล ไปมาหาสู่กับหลินอิ่งแต่แรก ตกลงเรื่องที่จะไปมณฑลจี้โจวแล้ว”หม่าผิงชวนพูดจาประจบ

“เรื่องมณฑลจี้โจว?”เผยหวูหมิงพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เหล่าหม่าพูดถูก ทางด้านตระกูลเผยจี้โจว ฉันตัดสินใจจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และเรียนเชิญหลินอิ่งแล้ว”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

“เผยหวูหมิง ตอนนี้นายยังรู้สึกว่า เข้าไปข้องเกี่ยวของเรื่องของตระกูลเผย ความสามารถของหลินอิ่งยังไม่มีสิทธิ์เหรอ?”จ้าวเฉิงเฉียนหัวเราะ

เผยหวูหมิงพยักหน้า พูดว่า “ขอโทษครับ ก่อนหน้านี้วิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล ความสามารถของหลินอิ่งมีสิทธิ์เพียงพอแล้ว”

จ้าวเฉิงเฉียนไปมาหาสู่แบบนี้กับหลินอิ่ง ก็เพื่อจะดึงตัวหลินอิ่ง มีปรึกษาหารือเรื่องใหญ่

ก่อนหน้านี้เผยหวูหมิงยังคัดค้านอย่างเด็ดขาด รู้สึกว่าคนนอกเข้ามาอย่างบุ่มบ่าม ความสามารถยังไม่พอ

ทุกวันนี้ ในใจเผยหวูหมิงก็เลื่อมใสอย่างจริงใจแล้ว

หลินอิ่งไม่เพียงความสามารถในวิชาการต่อสู้สูงส่งไม่อาจคาดเดาได้ แม้แต่ลูกน้องในมือ ก็สามารถเรียกยอดฝีมือชั้นสูงระดับรายการดินออกมาได้อย่างง่ายดาย อำนาจขนาดนี้ วางไว้ในแวดวงลึกลับก็ดูถูกไม่ได้

ปัง

ขณะเดียวกัน มีเสียงดังกึกก้องมาจากอาคารที่อยู่ไกลโน่น

เห็นเพียงอาคารครึ่งชั้นถล่มลงมา กระแทกจนฝุ่นฟุ้งกระจาย

การฆ่าฟันระหว่างเย่เฮยและจั่วฉวนทั้งสองฝ่าย เข้าสู่วินาทีแห่งความรุนแรง ร่างที่เคลื่อนไหวไม่คงที่ ต่างก็หยุดลงมาประชันหน้ากัน

“ดูเหมือนพวกเขาสู้กันพอประมาณแล้ว นายน้อย พวกเราจะเข้าไปช่วยไหม? จะได้มีน้ำใจต่อกัน?”เผยหวูหมิงพูดแนะนำอยู่ด้านข้าง

“ไม่”จ้าวเฉิงเฉียนพูด “ยกเว้นหวงชิงซานทั้งสองคนรับไม่ไหวแล้ว มิเช่นนั้นอย่างยุ่งเกี่ยว ไม่เพียงแค่ไม่ได้ผลดี แต่กลับทำให้หลินอิ่งแสลงได้”

ทั้งสามกำลังพูดอยู่

ทันใดนั้น มีร่างหนึ่งที่เหมือนดั่งปีศาจร้ายลงมาจากฟ้า ปรากฏตัวในอาคารร้างทางโน้น ปรากฏตัวที่มุมครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายไป ดูเหมือนจะวิ่งขึ้นบนดาดฟ้า

“นั่นคือ? กงจิ่ว?”

หลังจากเห็นเงาดำปรากฏตัว จ้าวเฉิงเฉียนตาดำหดอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นจากเก้าอี้ปรมาจารย์ทันที

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท