ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 568 คุณธรรมไม่พอจะให้อยู่ในตำแหน่ง

บทที่ 568 คุณธรรมไม่พอจะให้อยู่ในตำแหน่ง

“ท่าน ท่านประธานเซ่….นี่ท่าน..นี่ มันอะไรกันหรือครับ?”

หูบา เหงื่อผุดออกหน้าเป็นเม็ด ตะกุกตะกักถามประธานเซ่

“ท่านประธานเซ่คะ ครอบครัวเรากับท่านก็มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะ เรื่องนี้ท่านต้องช่วยเราบ้างนะ”เมียของหูบาพูดอ้อมแอ้มอย่างหน้าตื่น

“ช่วยพวกคุณ? พวกเราสนิทกันมาก งั้นหรือ?”

เซ่ชิงมองหูบา สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แววตาส่อให้เห็นขนาดอยากจะฆ่าหูบาทิ้งเสียเลย

เขาก็แค่รู้จักกันผิวเผิน

แต่ หูบาในครั้งนี้ เล่นลามไปถึงท่านคุณชายอิ่งระดับมหาพระใหญ่ ลองถ้าจัดระเบียบไม่ดี แม้แต่ตัวเขาเองจะล่มสลายสาบสูญเลยก็เป็นได้

ไอ้เงินค่าเหล้าค่าอาหารซื้อความสัมพันธ์บนโต๊ะในภัตตาคารนั้น มันไม่ใช่เรื่องเอามาเทียบคุยได้เลย

“ท่านประธานเซ่ ท่าน เออ..ธุรกิจของผมก็ไม่ใช่เล็กๆ ท่านคงไม่ทำให้ผมต้องลำบากใจนะครับ? ไอ้เด็กหนุ่มแซ่หลินนั่น มันใครกันครับที่ท่านต้องไปเคารพเค้าขนาดนี้?”หูบาถามอย่างยังคาใจ

เขาคิดในใจอยู่ว่า ในอาณาเขตย่านเมืองเก่านี้ เขาก็เป็นคนอยู่ในระดับสูงพอตัว

ถึงจะเป็นไปยังไง เซ่ชิงก็คงต้องหาทางลงให้เขาได้บ้าง

“ประธานเซ่ ผมเองในบริเวณแถบนี้ ขี้หมูขี้หมาก็ยังพอไว้หน้าไว้ตากับเขาอยู่บ้าง จะไม่ไว้หน้าผมบ้างสักนิดเลยหรือครับ?”

เพี๊ยะ

หูบาพูดยังไม่ทันจบ ซื่อไท่เดินเข้าไปฟาดมือลงไปที่หน้าอย่างแรง

“แกมีหน้าอะไร? คนมีหัวมีหน้า? แกรู้จักข้าหรือเปล่า?”

ซื่อไท่กระชากหัวหูบาไว้ ถลึงตามองใส่

“อึ๊บ เอ๊าะ!”

หุบา มองหน้าเหี้ยมเป็นเทพมหากาฬของซื่อไท่ ตกใจเกือบตาย อึกอักอึกอักพูดอะไรไม่ออก

“แกเป็นใคร ฮึ? เอะอะก็ลงไม้ลงมือตบหน้าคนได้ไง!”

เมียของหูบาพูดอย่างไม่พอใจ

“ท่านผู้นี้คือ ซื่อไท่จากไท่ซานกรุ๊ป ท่านประธานซื่อ คุณหูบาน่าจะรู้จักว่าเป็นใครมั้ง?”เซ่ชิงมองหูบาอย่างเย็นชา แล้วแนะนำ

“อ้อ? คุณซื่อไท่ พี่ใหญ่ซื่อ?”

“อะไรกัน!”

หลังจากเซ่ชิงแนะนำถึงสถานะของซื่อไท่ หูบาตาแทบถลน ให้พรั่นกลัวเป็นกำลัง

ถึงกระทั่งเมียของหูบา หญิงปากร้ายใจเกเรคนนี้ก็ยังตกใจจนตาหมดแวว

หลินอิ่ง ลุ่มลึกจนน่าคิดหนัก ก็ยังไม่มีภาพที่น่าสะพรึงกลัวเป็นรูปธรรมให้ต้องหวาดผวา

แต่ ซื่อไท่ ชื่อนี้ มันเป็นที่ทุกคนในวงการล้วนเคยได้ยิน

ประธานผู้อำนวยการไท่ซานกรุ๊ป พี่ใหญ่หัวมังกร สถานะโดดเด่นชัดเจน

แทบพูดได้ว่า บรรดาคนที่หาทำกินอยู่ในอาณาบริเวณแถบเมืองเก่านี้ ล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงอันทรงอิทธิพลนี้

“นี่ นี่ นี่ …….ท่านประธานซื่อ…..”

“ท่านประธานซื่อของไท่ซานกรุ๊ป? นี่ นี่ คนระดับใหญ่ขนาดนี้มาสถาบันชิงถึงเพราะอะไรหรือ? ด้วยเพราะเจ้าเด็กหนุ่มแซ่ หลินนั่นนะหรือ?”

“อาของเด็กหญิงหยังสู้สู้คนนี้ เป็นมารเทพมาแต่ไหนกัน?”

มาถึงขณะนี้ เสียงอุทานขานกล่าวอึงคะนึงไปทั่วทั้งห้องทำงาน ทุกคนต่างหนาวสะท้านไปทั่วตัว ให้รู้สึกหวาดผวาเมื่อสบมองไปที่หลินอิ่ง

โดยเฉพาะอาจารย์หลีนั่น และครูใหญ่ซุน ยิ่งตกใจจนหน้าเผือดซีด ปากสะท้านสั่น

เด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ

แนะนำตัวเองว่าแซ่ หลิน

ยังสามารถทำให้ซื่อไท่-พี่ใหญ่หัวมังกร ยอมสยบให้ความเคารพนบนอบขนาดนี้

ภาพตัวจริงของเด็กหนุ่มคุณอาของหยังสู้สู้ เริ่มให้เห็นเป็นลางๆ แล้ว

นอกจากคุณชายอิ่ง ที่ชื่อเสียงลือลั่น คงไม่มีใคร จะมีฐานะศักดิ์ขนาดนี้เป็นแน่

คนที่นี่ทั้งหมดไม่มีใครคิดถึงได้เลยว่า สถาบันชิงถึงเล็กๆ แห่งนี้ จะมีหลานสาวของคุณชายอิ่งมาเล่าเรียนอยู่ที่นี่

“ผมผิดไปแล้ว!ต้องขออภัยจริงๆ ท่านประธานซื่อ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง”

“ท่านประธานซื่อคะ คุณชายอิ่งคะ พวกเราผิดไปแล้ว!ไว้ชีวิตพวกเราด้วยนะค่ะ”เมียของหูบา หวาดผวาจนพูดอะไรไม่เป็นศัพท์ ระทวยเป็นง่อยพูดอยู่ที่โต๊ะ

ซื่อไท่ไม่ใส่ใจด้วย ท่าทางเย็นหี้ยม แววตาส่อความโหดถมึงจ้องที่หูบาสองผัวเมีย

หากไม่ใช่เพราะท่านอิ่งสั่งไว้ว่าให้เชิญประธานเซ่มาจัดการเหตุการณ์เอง และถ้าไม่เห็นว่าเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษา ปล่อยให้เป็นเขาจัดการเองละก็ หูบาวันนี้ไม่ตายคงโดนถลกหนังไปสักชั้นแน่

“ครูใหญ่ซุน อาจารย์หลี คุณสองคนมานี่ เรื่องของเด็กหญิงหยังสู้สู้ มันเป็นยังไงกันแน่!”ประธานเซ่หันมองไปที่ครูใหญ่ซุนกับอาจารย์หลีด้วยสีหน้าตำหนิที่เคร่งขรึม

ทั้งสองคนที่ตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้ว โดนการตะคอกถามของประธานผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดนี้ ได้แต่ก้มหน้าตอบเล่าเหตุการณ์ข้อเท็จจริงทั้งหมดออกมา

“ท่านประธานเซ่ เรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามนี้ค่ะ ก็เพียงแต่เด็กนักเรียนสองคน มีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”อาจารย์หลีพินอบพิเทาตอบอย่างร้อนตัวในใจ

“เพียงแค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ? พวกบัดซบเอ๊ยย…!”

“เธอ จริงๆ ไม่เหมาะสมจะเป็นครูบาอาจารย์เลย”ประธานเซ่ดุว่าเสียงเยือกเย็น “แม้กับคุณธรรมในความเป็นภราดรภาพกันยังทำไม่ได้? เห็นหูบามีเงินมีอำนาจ ก็ปล่อยจิตใจให้เทเอียงไปทางลูกเขา?”

“แล้วแบบอย่างเธอนี่ยังจะใช่ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนนักเรียนหรือ คุณธรรมไม่เหมาะกับตำแหน่ง ไปให้พ้นได้แล้ว โรงเรียนของเราไม่ต้องการครูบาอาจารย์แบบเธอนี่ คุณถูกให้ออกแล้ว ต่อไปนี้ ไม่ต้องหวังจะได้มีโอกาสหากินในอาชีพครูในพื้นที่ตี้จิงนี้อีกต่อไป”เซ่ชิงพูดเสียงเย็นชา

“อีกเรื่องหนึ่ง ครูใหญ่ซุน คุณก็เหมือนกัน คุณก็ถูกให้ลาออกด้วย”

“โอ้ะ!นี่….”

“ท่านประธานเซ่ ท่านดู……”

อาจารย์หลีกับครูใหญ่ซุนมีสีหน้าที่ข้องใจ ยังคิดพูดหวังขอความเห็นใจจากประธานเซ่

“หุบปากไปเลย รีบไสหัวออกจากสถาบันแห่งนี้!”ประธานเซ่พูดอย่างตัดบท “คุณสองคนไม่อยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนนี้อีกต่อไป หากยังขืนจะอิดออดงี่เง่า ก็อย่ามาว่าผมที่จะใช้มาตรการรุนแรงกับพวกคุณนะ!”

มาดเข้มดุของประธานผู้อำนวยการออกมาแบบนี้ เล่นเอาอาจารย์หลีกับครูใหญ่ซุนหน้าซีดเป็นขี้เถ้า ไม่กล้าหือออกเสียง

พวกเขาได้แต่นึกเจ็บใจตัวเองจนช้ำไปถึงไส้ใน

การโดนไล่ออกจากสถาบันชิงถึงนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดว่าแค่ออกจากงาน….

ไม่ต้องพูดถึงคุณชายอิ่งว่าบารมีทะลุฟ้าขนาดไหน เอาเพียงแค่อิทธิพลของซื่อไท่กับประธานเซ่ ก็พอทำให้สองคนนี้จะหาทำกินในตี้จิงไม่ได้ต่อไปอีก ไม่มีงานธุรกิจใดของใครกล้ารับไว้ใช้เป็นแน่

ทั้งสองได้แต่เจ็บปวดในใจไม่รู้สิ้น ทำไมต้องเพราะเผลอไปชั่ววูบ แล้วไปกระทบคนระดับอิทธิพลทะลุฟ้าอย่างท่านคุณชายอิ่ง ได้

เพียงทว่า เขาทั้งสองคงไม่มีทางจะได้รู้ชัดแจ้งอีกตลอดไปว่า พวกเขาผิดอยู่ตรงจุดไหน

“ท่านประธานเซ่ ผม พวกผมเข้าใจแล้วครับ”ครูใหญ่ซุนพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสุดขมขื่น

จัดการสั่งสอนครูใหญ่ซุนกับอาจารย์หลีจบ ประธานเซ่หันกลับมา มองหน้าหูบาสองผัวเมีย

“หูบา ผมบอกตรงๆ นะว่าผมมองคนอย่างคุณไม่ขึ้นเลย เมียคุณนี่อายุขนาดนี้แล้ว ยังไปหาเรื่องกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ? แล้วยังลงมือตบตี?”ประธานเซ่พูดเสียงเยือกเย็น “จะต้องให้คนอื่นตามเอาผู้ปกครองมาให้คำตอบกับคุณให้ได้? ทีนี้ คุณยังจะให้เรียกผู้ปกครองเด็กนักเรียนหญิงหยังคนนี้มาอีกไหม?”

“ผม…..ประธานเซ่ ผม ผมขอร้องท่านช่วยขอความกรุณาจากท่านคุณชายอิ่ง ขอความกรุณาท่านประธานซื่อให้ผมด้วยเถอะครับ”

“ขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ!ผมไม่น่าไปทำกับหยังสู้สู้เลย……..”

หูบาสองผัวเมีย สีหน้าเต็มด้วยความขมขื่น โค้งคำนับขออภัยไม่หยุด

“หนูหยังจ๊ะ น้าผิดไปแล้ว หนูให้อภัยน้าได้หรือเปล่าจ๊ะ หนูจะตีน้าก็ได้ ”

เมียหูบาทำตีสีหน้ายิ้ม พูดเจรจาขอร้องหยังสู้สู้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท