ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 575 ศึกตะลุมบอน

บทที่ 575 ศึกตะลุมบอน

คืนนี้กงจิ่วปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ในใจจ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกวิกฤตอย่างรุนแรง

ตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ที่กงจิ่วมาที่นี่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าหลินอิ่งส่งคนมา

เรื่องผิดปกติ

กงจิ่วคนนี้ต้องได้รับข่าวจากสายแน่นอน รู้ว่าคืนนี้จะเกิดเรื่อง

ส่วนข่าวกรอง ก็คือเขาจ้าวเฉินเฉียนให้กับหลินอิ่ง

หลินอิ่งได้รับข่าวกรองก็ส่งคนมาทันที นิสัยเด็ดเดี่ยวมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะรั่วไหล

ถ้าเช่นนั้น ก็ต้องเกิดปัญหาจากที่จ้าวเฉิงเฉียนเป็นธรรมดา

จ้าวเฉิงเฉียนเข้าใจแล้ว มีหนอนบ่อนไส้อยู่ภายใน ตอนที่เขาจ้องอยู่ที่กงจิ่ว กงจิ่วก็จ้องเขา

“เหอะเหอะ ครั้งที่แล้วที่คุณเสียหาย ยังไม่ยอมแพ้ใช่ไหม”กงจิ่วหัวเราะอย่างสนุก “คุณนี่ไม่เห็นโลงศพไม่ตายใจใช่ไหม จ้าวเฉิงเฉียน ถ้าฉันไม่ได้กลัวเจ้าสำนักหยางแก๊งหยางเหมินโมโห สร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น ตอนนั้น แกก็ตายในมือฉัน……”

“ฆ่าฉัน?”จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าโมโหเล็กน้อย “กงจิ่ว แกนอกจากชอบลอบทำร้ายคนอื่นในที่ลับแล้ว ยังมีความสามารถอย่างอื่นไหม? พูดถึงวิชาการต่อสู้ แกจะชนะฉันได้สักแค่ไหน?”

“ฮาฮาฮา”กงจิ่วหัวเราะเสียงดัง มองจ้าวเฉิงเฉียนด้วยสายตาโหดเหี้ยม “ฉันว่าแก๊งหยางเหมินของพวกแกมันรนหาที่ตาย นี่มันความแค้นระหว่างฉันกับหลินอิ่ง นี่แกจะยืนอยู่ฝั่งหลินอิ่งใช่ไหม?”

“ฉันร่วมพันธมิตรกับหลินอิ่งแล้วไง?”จ้าวเฉิงเฉียนพูดเย็นชา “แกคิดจริงเหรอ แก๊งหยางเหมินจะกลัวสำนักยุทธเชียนของพวกแก? ที่นี่เป็นประเทศหลุง”

ไม่ว่าจะเป็นความแค้นส่วนตัวกับกงจิ่ว หรือข้อตกลงระหว่างหลินอิ่ง

ในเมื่อคืนนี้เขามาแล้ว ก็ต้องฝืนสู้แล้ว

อย่างไรเสีย ความสำคัญของหลินอิ่งอยู่ตรงนั้น

ถ้าหากนั่งดูคนของหลินอิ่งถูกกงจิ่วจับตัวไป

ถ้าอย่างนั้น หลังจากจบเรื่อง สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือความโกรธของหลินอิ่ง

ก่อนหน้าก็มีตัวอย่างมากมายแล้ว

ตระกูลเหวิน ตระกูลนิ่ง ตระกูลสวี จี้ฉงซาน…….

ขอให้อยู่ภายใต้ความโมโหของหลินอิ่ง ยังไม่มีคนทนรับความสามารถที่เขาแสดงออกได้

“เหอะเหอะเหอะ”กงจิ่วพูดหัวเราะเย็นชา “จ้าวเฉิงเฉียน แกต้องคิดให้ชัดเจนนะ ช่วยหลินอิ่ง มันคุ้มค่าหรือไม่”

“เหอะ”จ้าวเฉิงเฉียนหัวเราะเย็นชา ส่ายหน้า “กงจิ่ว แกพูดมากขนาดนี้คือกลัวแล้วเหรอ?”

“ฮาฮาฮา กลัวแก?”กงจิ่วยิ้มอย่างเย็นชาโหดเหี้ยม “ถ้าหากอาจารย์ของแกเจ้าสำนักหยางอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่พูดสักคำ ถอนตัวทันที กับแกจ้าวเฉิงเฉียนเหรอ จะทำให้ฉันกลัวได้”

“ฉันรู้ว่าแกจ้าวเฉิงเฉียนกลับตี้จิงตั้งนานแล้ว และรู้เรื่องความเคลื่อนไหวของสำนักย่อยแก๊งหยางเหมิงที่ตี้จิง แค่ไม่อยากต่อสู้อย่างไร้ค่ากับแก๊งหยางเหมินของพวกแกเท่านั้น”กงจิ่วค่อยๆพูด “พฤติกรรมพวกนั้นของแก คิดว่าจะปิดฉันได้เหรอ?”

“คืนนี้แกไม่ออกหน้า ฉันก็ไม่ไปหาเรื่องแก๊งหยางเหมิน”

พูดถึงคำสุดท้าย สีหน้ากงจิ่วก็เปลี่ยนเป็นโหดร้าย

วินาทีที่คำพูดจบลง แสงมีดอันฮึกเหิมก็ฟันลงไปแล้ว

ร่างของกงจิ่วก็เปลี่ยนเป็นเงาดำพุ่งเข้าไปฆ่าแล้ว

จ้าวเฉิงเฉียนก็เตรียมตัวแต่แรกแล้ว ก้าวเท้าออกไป ร่างก็เหมือนดั่งสายลมพุ่งออกไป

เขาฟาดฝ่ามือลงไป ลงไปที่ปลายมีดของกงจิ่วพอดี ฝ่ามือสะเทือนแรงอันแข็งแกร่งออกไป สะเทือนจนมีดลายเบญจมาศสั่นสะเทือน

ส่วนร่างดุจปีศาจร้ายของกงจิ่วก็หยุดลงมา

ทั้งสองคนเผชิญหน้าหากัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อ ใช้มีดเป็นสื่อกลาง ต่อสู้กำลังภายใน

“เหอะเหอะ มิน่ากล้ามาท้าทาย ที่แท้วิชาการต่อสู้พัฒนาขึ้นไม่น้อย”กงจิ่วพูดอย่างเย็นชา หรี่ตาลง หมุนมีดลายเบญจมาศดังฮวั๊ก

ปลายมีดเปลี่ยนแปลงทันที แสงมีดสาดส่องมาดุจพายุฝน มือทั้งสองข้างของจ้าวเฉิงเฉียนถูกบีบออกไป เกิดลมใต้ฝ่ามือ เสียงติ้งติ้งตั๊กตั๊กสะเทือนปลายมีด

ทันใดนั้น ทั้งสองคนสู้กันพัลวัน สู้กันจนเกินเสียงลมรอบด้าน

“ทุกท่าน ออกมือช่วยผม ร่วมมือกับจับคนต้าเหอคนนี้พร้อมกัน”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดเคร่งขรึม

คำพูดเพิ่งพูดจบ เผยหวูหมิงและหม่าผิงชวนก็พร้อมใจกันพุ่งออกไปแล้ว เตรียมท่าพร้อม ล้อมกงจิ่วพร้อมกับจ้าวเฉิงเฉียน

เย่เฮยและหวงชิงซานสบตากัน แววตาทั้งสองเย็นชา พุ่งออกไปพร้อมกันเช่นกัน ช่วยเหลือพวกจ้าวเฉิงเฉียน ยอดฝีมือทั้งห้ารุมล้อมพร้อมกัน

พวกเขาสองคนรู้ดี เผชิญหน้าต่อยอดฝีมือชั้นสูงอย่างกงจิ่ว ให้โอกาสไม่ได้แม้แต่น้อย

ถึงแม้จ้าวเฉิงเฉียนจะรับมือกับกงจิ่วได้ ก็อาจจะจับตัวกงจิ่วไม่ได้

ห้าคนรุมสู้พร้อมกัน โอกาสชนะก็ไม่น้อยเป็นธรรมดา

“พอมีความหมาย ยอดฝีมือห้าคน ฉันก็ไม่เคยรู้สึกถึงความกดดันแบบนี้มานานแล้ว”

กงจิ่วพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ สีหน้ามีแววแห่งความบ้าคลั่ง

ดูเหมือนว่า เผชิญหน้าต่อการรุมของห้าคน เท่าที่เขาดูแล้วไม่ได้ทำให้เกิดภาระทางใจเลย

ชิ้วชิ้วชิ้ว

กงจิ่วถือมีดลายเบญจมาศเฉียบคม เร็วดั่งสายฟ้า มีดเดียวแยกเงา แสงมีดดุจฝนโปรยปรายลงมาบีบจนทุกคนต้องถอยออก

ทุกมีดที่พลาดไป ล้วนขูดพื้นคอนกรีตจนเป็นรอยลึก

ปลายมีดของเขา ถึงแม้พวกจ้าวเฉิงเฉียนกำลังภายในแข็งแกร่ง ก็ไม่กล้าใช้เนื้อตัวไปขืนทนรับ

พูดในแง่มุมหนึ่ง มีดนี้ฟันลงมาความรุนแรงนั้น น่ากลัวกว่ากระสุนเสียอีก

สู้กันอย่างวุ่นวาย กงจิ่วถูกล้อมไว้ตรงกลาง ค่อยๆลดขอบเขตการใช้ท่วงท่าวิชาการต่อสู้ ถูกขัดขวางติดอยู่ตรงนั้น

เขาอาศัยวิชาการใช้มีดอันดุเดือดรุนแรง ขัดขวางท่าแล้วท่าเล่า

ดูท่าแล้วกงจิ่วจะถูกบีบจนหมดหนทางแล้ว

เสียงชิ้วทีหนึ่ง

ร่างของกงจิ่ว หาช่องโหว่เจอแล้วหมุนตัวพุ่งออกไป แนบชิดฝ่ามือหนีออกไป ดึงระยะห่างจากทุกคนออกไป

เสียงดังปัง

เผยหวูหมิงถูกแรงฟาดจากฝ่ามือ ถูกกงจิ่วฟาดจนถอยไปไกลสิบกว่าเมตร สะเทือนภายในจนบาดเจ็บ แคกแคก กระอักเลือดออกมา

หุ่นของกงจิ่วดูเตี้ยเล็ก แต่กลับว่องไวรวดเร็วผิดปกติ

“จุ๊จุ๊ แค่นี้เองเหรอ”กงจิ่วพูดอย่างหยอกล้อ “พวกแกทั้งหลายยังห่างอีกเยอะ จ้าวเฉิงเฉียน จากความสามารถของแกแล้ว อาจจะยังสามารถสู้กับฉันได้ แต่อยากจะจับตัวฉัน มันยังห่างกันอีกเยอะ”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าหม่นหมอง

พวกเขาห้าคนร่วมมือกัน กลับทำอะไรกงจิ่วไม่ได้ ตรงกันข้ามกลับถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหนึ่งคน

ความสามารถของห้าคนเฉลี่ยแล้ว ก็เป็นยอดฝีมือชั้นสูงระดับรายการแห่งดินห้าคน……

กองกำลังอันแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่กลับถูกกงจิ่วทำลายอย่างง่ายดายเพียงนี้

“จ้าวเฉิงเฉียน ตอนนี้ฉันให้เวลาแกพิจารณาหนึ่งครั้ง คือพาคนของแกไสหัวไปเดี๋ยวนี้ หรือว่าให้ฉันฆ่าคนข้างกายแกตายจนราบคาบ แล้วค่อยจากไปอย่างสงบ?”กงจิ่วพูดอย่างโหดเหี้ยม

ตอนที่พูด กงจิ่วก็ส่งสายตาให้จั่วฉวนและจั่วซง

ทั้งสองคนรีบออกไปชั้นของอาคารร้างด้านข้างอีกชั้นหนึ่ง ดูเหมือนไปเอาของสำคัญอะไรสักอย่าง

จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง ในใจรู้ว่า กงจิ่วมีของสำคัญบางอย่างต้องเอาไปจากอาคารนี้

มิเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าให้ตัวเองพาคนออกไป

“กำเริบเสิบสาน”เย่เฮยพูดกับกงจิ่วด้วยแววตาเย็นชา “แกมีความมั่นใจที่จะจับตัวทุกคนได้เหรอ?”

“จนถึงตอนนี้ แกยังไม่รู้ความสามารถของฉันเลยแม้แต่น้อยเลย”กงจิ่วส่ายหน้า หัวเราะเย็นชา ท่าทางกำชัยชนะไว้ในมือแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท