ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 582 ใครกล้าแตะต้องที่ดินแปลงนี้?

บทที่ 582 ใครกล้าแตะต้องที่ดินแปลงนี้?

นิ่งซวนพูด “ซือหม่าเฟยวู่ คุณไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับผม ภูเขาลูกนี้ ผมใช้เงินทองประมูลมา มีขั้นตอนอย่างเป็นทางการ”

“เหอะเหอะ ขั้นตอนอย่างเป็นทางการที่คุณพูดถึง ไม่เป็นทางการเลยสักนิด”ซือหม่าเฟยวู่พูดและหัวเราะเย็นชา “ที่ดินที่คุณรับซื้อมาจากผู้อาศัยเดิมใช่ไหม? แต่ว่าผู้อาศัยบางส่วนไม่มีสิทธิ์อำนาจในการโอนย้าย”

“บนภูเขาลูกนั้น มีที่ดินพันสามร้อยกว่าตารางเมตร เป็นที่ดินของตระกูลซือหม่าเรา และเป็นสถานที่บูชาบรรพบุรุษของตระกูลซือหม่า ตระกูลนิ่งของพวกคุณจะอำนาจใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่สามารถทุบทำลายหอบรรพบุรุษตระกูลคนอื่นมั้ง?”ซือหม่าเฟยวู่พูดเสียงเคร่งขรึม

นิ่งซวนสีหน้าโมโหขึ้นมาเล็กน้อย พูดว่า “ซือหม่าเฟยวู่ คุณอยากเล่นเล่ห์เหลี่ยมใช่ไหม? อยากใช้วิธีแบบนี้? หอบรรพบุรุษของคุณนั้น เพิ่งสร้างขึ้นบนเขาอาทิตย์ที่แล้ว คุณจะเอาเรื่องนี้มาพูด?”

เขาก็ไม่รู้ว่าตระกูลซือหม่ากินยาอะไรผิด

ตี้จิงใครก็รู้ ภูเขาฉางชิงเมืองเทียนหลงเป็นโครงการที่ตระกูลนิ่งจะพัฒนา เบื้องหลังหุ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง

ตระกูลซือหม่าเหมือนบ้าไปแล้ว ไปสร้างวัดบรรพบุรุษตระกูลซือหม่าบนภูเขาฉางชิงขึ้นชั่วคราว มาถกเถียงที่นี่

“เหอะเหอะ ประธานนิ่ง คุณไม่ต้องยุ่งว่าตระกูลซือหม่าจะสร้างขึ้นเมื่อไหร่ ที่ดินพันสามร้อยกว่าตารางเมตรนั้นเป็นของตระกูลเรา พวกเราคิดจะสร้างเมื่อไหร่ก็ได้”ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างใจเย็น

นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง “ได้ ตระกูลซือหม่าต้องการเงินเท่าไหร่? ผมรับซื้อที่ดินพันสามร้อยตารางเมตรของคุณ”

โครงการภูเขาฉางชิงนี้ขนาดใหญ่แค่ไหน? มองไปแล้วก็คือภูเขาหลายลูก

ตระกูลซือหม่าครอบคลุมที่ดินอยู่พันสามร้อยกว่าตารางเมตร ใช้ที่ดินพันสามร้อยกว่าตารางเมตรนี้ไม่ให้คนขยับ?

แต่ก็น่าสนใจดี

“ประธานนิ่ง คำพูดนี้ไม่ถูกนะ”ซือหม่าเฟยวู่พูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ตระกูลซือหม่าของเราถึงจะไม่ได้ทำธุรกิจใหญ่โตอย่างตระกูลนิ่ง และไม่ได้อำนาจใหญ่โตเหมือนคุณชายอิ่งที่อยู่เบื้องหลังคุณ”

“แต่ก็ไม่ได้จนถึงขั้นที่จะต้องขายที่ดินบรรพบุรุษเพื่อแลกเงิน”

“นายท่านนิ่งไท่จี๋และนายท่านตระกูลผม นั่นก็พอมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง ตระกูลนิ่งของพวกคุณทำแบบนี้ ใครจะไปทนดูได้? ไร้เหตุผลใช่ไหม?”

ได้ยินแล้ว แววตาของนิ่วซวนเต็มไปด้วยความเย็นชา พูดว่า “ได้ ถ้างั้นหอบรรพบุรุษตระกูลซือหม่าของพวกคุณก็เก็บไว้เถอะ ทีมงานออกแบบก่อสร้างของพวกเรา ยังมีมาตรฐานนี้อยู่ สามารถเก็บวัดบรรพบุรุษให้คุณไว้อย่างดี”

“สั่งทีมงานก่อสร้างไป ขับรถขุดดินอะไรพวกนี้เข้าไป เตรียมการก่อสร้าง”

นิ่งซวนออกคำสั่งด้วยความโมโห

กำลังพูดอยู่ ยอดฝีมือตระกูลนิ่งที่อยู่ข้างหลังนิ่งซวน ชายหนุ่มชุดสูทสิบกว่าคนเดินเข้าไปเส้นเตือนภัย กำลังเตรียมจะเคลียร์พื้นที่

“ขวางพวกมันไว้ ดูว่าใครกล้าขยับ”

ซือหม่าเฟยวู่พูดด้วยเสียเย็นชา ไม่ได้กลัวนิ่งซวนแม้แต่น้อย

พูดไป คนมากมายที่อยู่ข้างหลังเขาก็เริ่มขยับตัว ชายหนุ่มร่างกำยำแต่ละคนก็เข้ามา

“วัดบรรพบุรุษเกี่ยวข้องกับฮวงจุ้ยของตระกูลซือหม่าของเรา ฉันจะดูว่าใครกล้าขยับที่ดินแปลงนี้ เทวดาบนฟ้ามา ก็ขยับภูเขาฉางชิงไม่ได้”

ซือหม่าเฟยวู่พูดด้วยท่าทางมีอำนาจ

“ประธานนิ่ง คุณอยากบุกเบิกภูเขานี้ งั้นก็เหยียบศพของผมไป ผมจะดูว่าคุณกล้าไหม”

นิ่งซวนโมโหทันที พูดว่า “ซือหม่าเฟยวู่ ตระกูลซือหม่าของพวกคุณอย่าไว้หน้าแล้วไม่เอา คุณคิดว่าผมทำคุณไม่ได้?”

ถ้าไม่ใช่เพราะโครงการภูเขาฉางชิงใหญ่เกินไป และเป็นสถานที่สาธารณะ

ด้วยท่าทางอวดดีของซือหม่าเฟยวู่ เขาจะสั่งทหารลับตระกูลนิ่งชักปืนออกมา ยิงไอ้ตัวนี้เลย

ที่สุดแล้ว ธุรกิจก็คือธุรกิจ ยังเป็นโครงการใหญ่ที่หลินอิ่งสั่งมาด้วย เกิดความผิดพลาดไม่ได้

วิธีก่อกวนดื้อรั้นอย่างนี้ของตระกูลซือหม่า ถ้าเอาชีวิตของพวกเขาขึ้นมาจริง มีแต่เสียมากกว่าได้ กลับส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ

อย่างไรเสีย กลางวันแสกๆท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายขนาดนี้ สื่อใหญ่ๆในวงการธุรกิจคนดัง ก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอยู่

ตระกูลซือหม่า ก็ฉวยโอกาสในจุดนี้

รู้ว่านิ่งซวนไม่กล้าลงมือจริง เพราะฉะนั้นถึงได้กำเริบเสิบสาน

“ออ ประธานนิ่ง นี่คุณกำลังข่มขู่ตระกูลเราเหรอ?”ซือหม่าเฟิงยิ้มอย่างหยอกล้อ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ยิงผมกับพ่อผมเลย ยังไงแล้วตระกูลนิ่งของพวกคุณอำนาจใหญ่โต ถูกไหม? ลูกน้องในมือคุณเอาผมให้ตายอย่างง่ายดาย มาเลย เอาผมให้ตายเลย”

“เฮ้อ”นิ่งซวนทำเสียงเย็นชา “ซือหม่าเฟยวู่ คุณรู้ว่าผมทำงานให้ใคร บทเรียนครั้งที่แล้วพวกคุณจำไม่ได้แล้วเหรอ? ความโมโหของคุณชายอิ่ง ตระกูลซือหม่าของพวกคุณรับไหวไหม?”

“ประธานนิ่ง คุณอย่าพูดเลย ถ้าไม่ใช่คุณชายอิ่งโมโหร้ายครั้งที่แล้ว ตระกูลซือหม่าของเรายังไม่กล้ามาร้องเอะอะแบบนี้”ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณชายอิ่งแล้วไง? ก็สามารถรื้อวัดบรรพบุรุษคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลได้เหรอ? ตลกสิ้นดี เขานึกว่าเขาเป็นใคร?”

พูดถึงหลินอิ่ง ซือหม่าเฟิงพ่อลูกความโมโหในใจ ก็กระหน่ำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง

ครั้งที่แล้วถูกหลินอิ่งเหยียดหยามอย่างรุนแรง กลับไปเจรจากับนายท่านตระกูลซือหม่าแล้ว และบวกกับการดึงตัวด้วยผลประโยชน์สูงของตระกูลสวี

ตระกูลซือหม่าของพวกเขาแข็งใจจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลสวี เดิมพันทรัพย์สินชีวิตทั้งหมดของตระกูลสวีไปแล้ว

พูดไป ซือหม่าเฟยวู่ก็หัวเราะ มองนิ่งซวน พูดว่า “ประธานนิ่ง คุณอย่าลืมนะ หัวหน้าหลิวกำลังดื่มน้ำชาในห้องข้างหลังคุณนั่น พิธีการของคุณจะทำอย่างเป็นทางการหรือไม่ ยังต้องพูดกันอีกที ยังคิดฝืนจะก่อสร้าง ยังอยากทำการพัฒนา? เหอะเหอะ”

นิ่งซวนพูดเคร่งขรึม “ตระกูลซือหม่าของพวกคุณไร้เหตุผล เอาที่ดินพันสามร้อยกว่าตารางเมตร คิดว่าตัวเองเป็นราชาภูเขาแล้ว?”

“โอ้ ประธานนิ่ง คำพูดมันไม่ได้พูดแบบนี้ ที่ดินพันสามร้อยกว่าตารางเมตรแล้วไง?”ซือหม่าเฟยวู่หัวเราะอย่างหยอกล้อพูดว่า “ไม่อย่างนั้น ประธานนิ่ง คุณให้วิธีแก้ปัญหาเลย ที่ดินภูเขาฉางชิงนี้ราคาเท่าไหร่ ตระกูลซือหม่าเราให้ราคาสองเท่า รับซื้อกลับมาทั้งหมด เป็นไง?”

“แบบนี้ ตระกูลนิ่งของพวกคุณก็ไม่เสียเปรียบใช่ไหม กำไรฟรีๆ”

“แม่มึงเอ้ยไร้สาระ”

นิ่งซวนเปิดปากด่า ความโมโหพุ่งขึ้นหัว

ล้อเล่นอะไร ที่ดินใหญ่โตขนาดนี้ในตี้จิง นั่นมันจ่ายเงินก็ซื้อได้เหรอ? มีเงินก็ใช้ได้?

นี่ไม่รู้ว่าคุณชายอิ่งทุ่มแรงไปตั้งเท่าไหร่ ใช้อำนาจใหญ่โตขนาดไหนถึงเอามาได้

เงิน?

ตระกูลชั้นสูงถึงขึ้นมาอยู่ถึงจุดนี้ได้ ยังมีใครใช้ตัวเลขพวกนั้นมาพูดกัน?

“ฉันให้เวลาแกสามนาที พาคนตระกูลซือหม่าของพวกแกไสหัวออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”นิ่งซวนพูดอย่างเย็นชา “มิเช่นนั้น อย่าหาว่าฉันไม่ไว้หน้า”

“เหอะ ความน่าเกรงขามของประธานนิ่งช่างใหญ่โตจริง จะทุบวัดบรรพบุรุษของตระกูลซือหม่า ยังมุทะลุขนาดนี้ น่าสรรเสริญจริงๆ”

เวลานี้ บอดี้การ์ดสองคนเข็นรถเข็นตัวหนึ่ง มาถึงข้างซือหม่าเฟยวู่

ผู้นำตระกูลสวี สวีไป๋เห้อมาแล้ว

เขานั่งบนรถเข็น ด้วยสีหน้าอันหยอกล้อ มองนิ่งซวนหัวจรดเท้า

“ว่ายังไง? นิ่งซวน คนรุ่นหลังอย่างแก นึกว่าพึ่งหลินอิ่งแล้ว ก็สามารถอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าพวกเราได้เหรอ?”สวีไป๋เห้อพูดอย่างเย็นชา “วันนี้แกลองขุดภูเขาดู”

“ฉันบอกแกได้เลย นายท่านตระกูลซือหม่า กำลังเจรจาเรื่องงานดื่มชาอยู่ห้องข้างหลัง กับกลุ่มผู้นำพวกหัวหน้าหลิว”สวีไป๋เห้อพูดอย่างช้าๆ “สำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์แห่งชาติ สำนักงานกฎหมาย สํานักงานก่อสร้าง ล้วนมีผู้นำระดับสํานักงานกับกรมอยู่ทั้งนั้น แกลองทำอะไรไปเรื่อยที่นี่ดู ดูว่าต่อไปแกจะทำธุรกิจในเมืองเทียนหลงยังไง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท