ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 583 เปิดประมูลใหม่?

บทที่ 583 เปิดประมูลใหม่?

“มีผู้นำอยู่?”นิ่งซวนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสวีไป๋เห้อเย็นชา รู้สึกว่าเรื่องค่อนข้างจะจัดการยาก

“ใช่แล้ว ผู้นำหลายท่านกำลังคุยงานกันในห้อง กำลังคุยเรื่องการพัฒนาภูเขาฉางชิง”สวีไป๋เห้อท่าทางไม่กลัวเพราะมีคนหนุนหลัง พูดอย่างช้าๆ “นิ่งซวน ยังอยากฝืนบุกรุกไหม? แกคงไม่ได้โอหังจนแม้แต่หัวหน้าผู้นำก็มาใช้ความรุนแรงหรอกนะ?”

“นี่…….”นิ่งซวนขมวดคิ้วแน่น กำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็ตัดสินอะไรไม่ได้

ตั้งแต่โบราณมา ประชาชนก็ไม่สู้กับข้าราชการ

ทำธุรกิจใหญ่โตแค่ไหน ก็ล้ำเส้นไม่ได้

ตระกูลนิ่งเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีชั้นสูงทั้งห้า มีพลังอำนาจใหญ่โตมากในทางการ

แต่ว่า ข้าราชการคนปัจจุบันไม่ดีเท่าผู้บริหารคนปัจจุบัน ยมทูตเจอง่าย ผีน้อยช่างเซ้าซี้

ผู้นำสำนักงานทั้งหลายที่สวีไป๋เห้อพูดถึง ล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงโดยตรง

ถ้าหากล่วงเกินคนพวกนี้ ก็จะนำปัญหามาไม่น้อย

ด้วยฐานะของนิ่งซวน ไม่ได้กลัวล่วงเกินผู้นำพวกนี้ กลัวแต่ทำให้ระยะเวลาโครงการล่าช้า ถ้าหากล่าช้า ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ว่า ทำลายแผนงานของประธานหลินในเมืองเทียนหลง ทั้งยังกระทบต่อชื่อเสียงบารมีของหลินอิ่งในตี้จิงด้วย

“เหอะเหอะ นิ่งซวน แกคิดว่าธุรกิจทำง่ายขนาดนี้เหรอ? ยังอยากเอาเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้อย่างเมืองเทียนหลงไปกิน?”สวีไป๋เห้อหัวเราะเย็นชา ท่าทางได้ใจอย่างมาก “ให้คนของแกไสหัวไปเถอะ ภูเขาฉางชิง แกแตะต้องไม่ได้”

นิ่งซวนสีหน้าเคร่งขรึมลง พูดว่า “สวีไป๋เห้อ แกจะอวดดีเกินไปแล้ว ที่ดินภูเขาฉางชิงนี้ตระกูลนิ่งของเราประมูลมา พวกเราอยากพัฒนายังไง แกยังบังคับขัดขวางได้เหรอ? คิดว่ามีเพียงตระกูลสวีเท่านั้นเหรอที่เชิญคนของทางการมาได้?”

“ใช่ ตระกูลนิ่งของพวกแกก็ต้องมีคนของทางการแน่”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ที่ดินภูเขาฉางชิงนี้พวกแกประมูลมาก็ไม่ผิด ฉันไม่มีสิทธิ์ขัดขวางพวกแกพัฒนา”

“แต่ว่า ฉันจะให้โครงการของพวกแกเกยตื้นอยู่แบบนี้สักครึ่งปี นั่นก็ไม่มีปัญหาอะไร”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าได้ใจ

“ออ ใช่แล้ว กลับไปพูดกับหลินอิ่งด้วย ที่ดินภูเขาฉางชิงนี้ ผู้นำของสำนักงานก่อสร้าง รู้สึกว่ามีปัญหาต้องการตรวจสอบ อาจจะทำการประมูลที่ดินแปลงนี้ใหม่”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“ตระกูลสวีของเรา ก็ยินดีเจรจาอย่างสันติกับหลินอิ่ง ขอแค่เขาพยักหน้าตกลง พวกเราออกเงินสองเท่า เอาภูเขาฉางชิงกลับมา ว่ายังไง ความจริงใจพอไหม?”

นิ่งซวนสีหน้าเคร่งขรึม รู้ว่าตระกูลสวีจะเล่นวิธีสกปรกแล้ว

สวีไป๋เห้อก็บังคับขัดขวางไว้ ไม่ให้โครงการภูเขาฉางชิงดำเนินการปกติ

แบบอย่างที่ทำลายคนอื่นแต่เกิดประโยชน์แต่ตนเอง เขาไม่ได้โครงการไป ก็ทำให้คนอื่นพัฒนาไม่ได้

ทุกวันนี้ โครงการของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงกำลังดำเนินการอย่างคึกคัก หากภูเขาฉางชิงต้องเกยตื้นอยู่ครึ่งค่อนปี พลาดเวลาที่ดีที่สุด ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น ไม่อาจคาดการณ์ได้จริงๆ

“สวีไป๋เห้อ แกอย่าได้ใจเร็วเกินไป ยังประมูลใหม่? แกนี่มันฝันไปชัดๆ”นิ่งซวนพูดอย่างเคร่งขรึม “ในเมื่อแกบอกว่าผู้นำของแต่ละสำนักงานพูดแล้ว งั้นได้เลย แกให้ผู้นำทั้งหลายออกมาพูด”

“ไร้หลักฐานแบบนี้ ลำพังแกก็อยากขัดขวางโครงการใหญ่ขนาดนี้?”นิ่งซวนทำเสียงเย็นชา “แกคิดว่ากฎหมายแกเป็นคนเขียนเหรอ? อยากทำยังไงก็อย่างนั้น?”

“น้ำเสียงโอหังจริงๆ ยังให้ผู้นำทั้งหลายออกมาพูดกับแก?”สวีไป๋เห้อหัวเราะเย็นชา “ที่ดินแปลงนี้สุดท้ายจะเป็นของใคร ยังพูดไม่ได้ แกก็กล้าคิดว่าเป็นของตัวเองแล้ว? แกคิดว่าแกเป็นเจ้าที่สังคมศักดินาเหรอ?”

“ดูแล้วแกนี่มันไม่เห็นโลงศพไม่ตายใจ ต้องให้หลักฐานแกใช่ไหม? ได้เลย”สวีไป๋เห้อพูดอย่างเย็นชา “ซือหม่าเฟยวู่ คุณไปเชิญผู้นำทั้งหลายออกมา”

“ฉันก็ดูแกต่อหน้าผู้นำทั้งหลาย ยังกล้าอวดดีขนาดนี้ไหม”

พูดจบ สวีไป๋เห้อก็พิงอยู่บนรถเข็นอย่างสบาย คนข้างกายจุดซิการ์ให้เขาม้วนหนึ่ง เริ่มสูบขึ้นมาอย่างสบายใจสง่าราศี

ไม่นาน จากเนินเขาข้างหลัง จากบ้านหลังหนึ่งแบบโบราณ ชายวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดาหลายคน ในชุดสูทรองเท้าหนังเดินออกมา จากการปกป้องของบอดี้การ์ด เสมือนดาวล้อมเดือน ค่อยๆเดินมา

ตรงกลางนั้น ยังมีผู้อาวุโสชราผมขาวคนหนึ่ง พูดคุยกับคนวัยกลางคนหลายคนข้างกายอย่างยิ้มแย้ม

“นายท่าน ท่านค่อยๆเดิน”

ซือหม่าเฟยวู่พยุงนายท่านตระกูลตัวเอง เดินทีละก้าวจนถึงเส้นเตือนภัย

แล้วก็ยังมีชายวัยกลางคนสามคนหน้าตาบึ้งตึง ยืนมือค้ำเอวอย่างน่าเกรงขาม

คนเหล่านี้เข้ามาถึง ก็แสดงราศีอันแข็งแกร่ง

นายท่านตระกูลซือหม่า ซือหม่าเชี่ยว นั่นเป็นบุคคลอาวุโสในตี้จิงแล้ว มีหน้ามีตาอย่างแน่นอน

“นายท่านซือหม่า หัวหน้าจิน นี่ก็คือนิ่งซวนแห่งตระกูลตี้จิง จะขัดขืนเริ่มงานก่อสร้างให้ได้ จะขุดภูเขาฉางชิง”สวีไป๋เห้อพูดแนะนำ มองนิ่งซวนด้วยสายตาได้ใจ

“โอ้? คุณก็คือนิ่งซวน?”ซือหม่าเชี่ยวหรี่ตามองสำรวจนิ่งซวน หัวเราะเหอะเหอะพูดว่า “นิ่งซวน เจ้าบ้านนิ่ง เรื่องนี้จะทำเกินไปหน่อยแล้วมั้ง? ปู่ของคุณนิ่งไท่จี๋ เป็นถึงคนที่ทำให้คนอื่นเคารพนับถือ ทำไมคุณถึงทำเรื่องวุ่นวายจะทุบวัดบรรพบุรุษของคนอื่นได้?”

พอเข้ามา ซือหม่าเชี่ยวก็วางมาดการเป็นผู้ใหญ่ ก็ยกไม้ยกมือต่อนิ่งซวน

“ซือหม่าเชี่ยว คุณไม่ต้องมาสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยที่นี่”นิ่งซวนพูดอย่างไม่เกรงใจ “วัดบรรพบุรุษที่ตระกูลซือหม่าสร้างมันหมายความว่ายังไง คุณรู้ดีแก่ใจ”

“คุณนี่มันบังคับครอบครองที่ดินชัดๆ ผมฟ้องร้องคุณได้”

“เหอะเหอะเหอะ”ซือหม่าเชี่ยวหัวเราะ “ฟ้องฉัน? ไอ้เด็กอย่างคุณนี่ปากเก่งไม่เบานะ”

“นิ่งซวน ฉันมาแนะนำผู้นำเหล่านี้ให้ไอ้เด็กอย่างคุณรู้จักหน่อย ดูว่าผู้นำทั้งหลายจะพูดยังไง ยังอยากฟ้องฉัน?”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างเชื่องช้า “ท่านนี้คือหัวหน้าถางของกรมก่อสร้างแห่งชาติ ท่านนี้คือผู้อำนวยการหลี่ของสํานักงานโครงการพัฒนา ท่านนี้ ผู้อำนวยการฉินของสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์”

“คุณนิ่ง สวัสดี”

ขณะพูด ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำนั้น จ้องนิ่งซวนไม่ละสายตา แล้วทักทาย

“สวัสดี หัวหน้าถาง”นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง “คนจริงใจชอบธรรมไม่พูดจาอ้อมค้อม คุณ ต้องการเป็นอริกับตระกูลนิ่งตี้จิงและคุณชายอิ่งให้ได้ใช่ไหม?”

นิ่งซวนขี้เกียจทำตัวเกรงใจจอมปลอมแล้ว

เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ก็มาช่วยตระกูลซือหม่าประคองสถานการณ์

“คุณนิ่ง คำพูดของคุณนี้พูดไม่ถูกแล้ว อะไรคือเป็นอริ? พวกเรามาทำงานตามระเบียบ”หัวหน้าถางพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ตอนแรกที่พวกคุณเอาที่ดินนี้มาได้ ใช้เงินทองจริง ตามขั้นตอน นี่ก็ไม่ผิด แต่ว่า เรื่องร้องเรียนที่เราได้รับ บอกว่าตอนที่ตระกูลนิ่งของพวกคุณรับที่ดิน ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้น พวกเราจะหยุดการก่อสร้างของพวกคุณ หลังการตรวจสอบให้แน่ชัดแล้ว ถึงจะอนุญาตให้นิ่งซื่อกรุ๊ปพัฒนาได้”

“อะไรวิธีไม่ถูกต้องผิดกฎหมาย? หัวหน้าถาง ผมขอให้หน่อยงานที่เกี่ยวข้องของพวกคุณ อย่าปั้นเรื่องขึ้นเอง”นิ่งซวนสีหน้าเปลี่ยน พูดอย่างเคร่งขรึม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท