ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 585 คุณ ระดับไม่ถึง

บทที่ 585 คุณ ระดับไม่ถึง

คราวนี้ ทุกคนต่างก็อาการตะลึง

พวกเขาทุกคนล้วนคิดไม่ถึง หลินอิ่งมาถึง ไม่พูดสักคำ ก็แสดงอำนาจอย่างหนักแบบนี้

ข้ามอากาศ ก็ทำร้ายจนซือหม่าเฟิงโดยตรงจนเกือบตาย?

“กำเริบเสิบสาน นี่แกทำอะไร? ภายใต้กลางวันแสกๆ แกนี่มันไม่มีขื่อมีแป”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างโมโห

“ผู้นำของแต่ละหน่อยงานที่เกี่ยวข้องอยู่กันหมด แกกล้าทำร้ายคนกลางวันแสกๆ?”ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างโมโห “หลินอิ่ง แกยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ไหม?”

พูดไป ซือหม่าเฟยวู่ก็วิ่งเข้าไปด้วยสีหน้าเป็นห่วง ดูอาการบาดเจ็บของลูกชายตัวเองซือหม่าเฟิง

“เอื้อกอ้าก พ่อ ผม ผมปวดกระเพาะมาก”ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด ในท้องเหมือนดั่งมีพลังอันมหาศาล ปวดจี๊ดๆขึ้นมาเป็นระยะๆ

“เร็ว รีบเรียกหมอมา นี่มันบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในแล้ว”ซือหม่าเฟยวู่สั่งบอดี้การ์ดข้างกาย จากนั้นหันหน้ากลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

“หลินอิ่ง ตระกูลซือหม่าของเรากับแกต้องตายกันไปข้างหนึ่ง แกอย่าคิดว่าแกสามารถมือเดียวบังฟ้าได้ในตี้จิง”ซือหม่าเฟยวู่พูดด้วยกึกก้อง

หลินอิ่งพูดเรียบเฉย “ครั้งต่อไปเขายังปรากฏตัวให้ผมเห็น เขาก็กลายเป็นศพแน่”

“หัวหน้าทั้งหลาย พวกท่านก็เห็นกับตาแล้ว นี่ก็คือคุณชายอิ่งคนนั้น กลางวันแสกๆกล้าทำร้ายคนถึงขนาดนี้ ช่างเหิมเกริมเกินไปแล้ว”ซือหม่าเชี่ยวพูดเคร่งขรึม “เบื้องหลังนิ่งซื่อกรุ๊ปแห่งตี้จิงก็คือเขา ซื้อที่ดินภูเขาฉางชิงก็คือเขา ดูวิธีการทำงานของเขาแบบนี้ ต้องมีปัญหาแน่นอน”

“เฮ้อ”

หัวหน้าถางทำเสียงเย็นชา ชายวัยกลางคนข้างกายเขาหลายคน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นไม่ค่อยดี สีหน้ามืดครึ้มจ้องอยู่ที่หลินอิ่ง

ใช่แล้ว หลินอิ่งเข้ามา ก็ไม่ได้ให้เกียรติให้พวกเขาทั้งหลาย เพราะฉะนั้น คือไม่ได้มีพวกเขาอยู่ในสายตาเลย

“คุณก็คือหลินอิ่ง? เจ้านายที่ใหญ่ที่สุดเบื้องหลังนิ่งซื่อกรุ๊ป?”หัวหน้าถางพูดอย่างเคร่งขรึม “ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณ รู้ว่าคุณอำนาจทรัพย์สินล้นฟ้า แต่ว่า คุณก็ยโสโอหังแบบนี้ไม่ได้? คุณรู้หรือไม่ ถ้าหากคุณชายตระกูลซือหม่าวินิจฉัยอาการเจ็บหนัก คุณต้องถูกจับกุม”

“เหอะ”หลินอิ่งส่ายหน้า มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา

“คุณรู้ว่าผมเป็นใคร?”

“ถ้าหากคุณรู้จริงว่าผมเป็นใคร คุณยังกล้าขวางทางผมอยู่ที่นี่?”

หลินอิ่งมองหัวหน้าถางด้วยสายตาเย็นชา แปร่งราศีอันแข็งแกร่งที่ทำให้คนหวาดกลัว

“แก”หัวหน้าถางถูกทำให้ตกใจจนถอยไปสองก้าว

วินาทีนี้ ในสายตาของพวกหัวหน้าถาง เสมือนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คน แต่เป็นมังกรยักษ์ที่เหินบินตัวหนึ่ง ทำให้พวกเขาหวาดผวา หนาวสั่นไปทั่วร่าง

หลังจากตั้งสติได้แล้ว หัวหน้าถางพูดอย่างใจแข็ง “หลินอิ่ง คุณพูดจาระวังหน่อย อะไรเรียกว่าขวางทางคุณ? พวกเรากำลังทำหน้าที่ตามความยุติธรรม”

“ทำหน้าที่ตามความยุติธรรม?”หลินอิ่งหัวเราะเบาๆ “ได้ ถ้าอย่างนั้นคุณลองบอกผมหน่อย ว่าทำงานตามหน้าที่ยังไง?”

หัวหน้าถางพูด “เกี่ยวกับที่ดินภูเขาฉางชิงนี้ สถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ผมพูดกับนิ่งซวนที่ทำงานให้คุณแล้ว ผมพูดกับคุณใหม่อีกครั้ง ย้ำอีกครั้ง”

“ที่ดินภูเขาฉางชิงนี้ หยุดงานก่อสร้างทั้งหมด”หัวหน้าถางพูดอย่างแข็งแกร่ง “พวกคุณก็รอแจ้งให้ทราบ รอผลการตรวจสอบออกมา ได้รับอนุญาตแล้วค่อยเริ่มงาน หากมีข้อสงสัยอะไร ก็ไปสอบถามที่กรมพาณิชย์”

“ออ?”หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “ถ้าหากยืนยันจะขุดภูเขาล่ะ?”

“คุณกล้า”หัวหน้าถางพูดอย่างโมโห “คุณนี่มันไร้กฎหายจริงๆ ไม่มีกฎหมายบ้านเมืองในสายตาแล้วเหรอ?”

“ตอนนี้ ผมสั่งให้พวกคุณทุกคนออกไปจากภูเขาฉางชิงเดี๋ยวนี้”หัวหน้าถางพูดอย่างแข็งแกร่ง “แล้วก็หลินอิ่งคุณอยู่ก่อน เมื่อกี้คุณเจตนาทำร้ายคน ผมจะโทรแจ้งทางสำนักงานหวู่อัน ให้คนมาดำเนินการตรวจสอบคุณ”

พูดไป หัวหน้าถางก็ส่งสายตาให้เลขาที่อยู่ข้างกาย รีบโทรศัพท์ทันที

“เจตนาทำร้ายคน? ตาข้างไหนของคุณเห็นผมเจตนาทำร้ายคน?”หลินอิ่งหัวเราะ มองหน้าคนตระกูลซือหม่า “ผมยืนอยู่ที่นี่ไม่ขยับ เขาบาดเจ็บได้ยังไง?”

“หลินอิ่ง คนมากมายมองอยู่คุณยังคิดอยากปฏิเสธเหรอ? ทำร้ายคนต่อหน้าผู้นำ แกคิดว่าแกใหญ่กว่ากฎหมายเหรอ?”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างโมโห

หลินอิ่งพูด “พวกคุณมีหลักฐานไหม?”

“มีหรือไม่มีหลักฐานฉันไม่สน ไม่ว่ายังไง วันนี้แกอย่าคิดที่จะเดินออกจากภูเขาฉางชิงง่ายๆ รอคนของสำนักงานหวู่อันมาถึง”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างโมโห สีหน้าน่าเกรงขาม

หลินอิ่งส่ายหน้ายิ้มอย่างเย็นชา “พวกคุณเลิกโยนความผิดให้คนอื่นได้แล้ว เล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นที่พวกคุณเล่น ไม่มีผลสำหรับผม”

“ซือหม่าเชี่ยว ผมเพิ่งลงจากรถ ก็ได้ยินคุณพูดว่า อยากขุดภูเขาฉางชิง เว้นแต่ตระกูลซือหม่าของพวกคุณตายหมดใช่ไหม?”หลินอิ่งแววตาเย็นชา มองซือหม่าเชี่ยวอย่างลึกซึ้ง

“ถ้าหากคุณยังก่อเรื่องให้ผมที่นี่ ผมรับรอง ช่วยคุณทำความหวังนี้สำเร็จแน่”

คำพูดอันเย็นชาของหลินอิ่งจบลง

ทันใดนั้น คนของตระกูลซือหม่าในเหตุการณ์ สีหน้าเปลี่ยนทุกคน รู้สึกกลัวจนตัวสั่น

พวกเขาฟังออก คำพูดนี้ ไม่ใช่การข่มขู่

“นายท่านซือหม่า พวกคุณไม่ต้องกลัว นี่มันข่มขู่ใครกัน?”สวีไป๋เห้อนั่งอยู่บนรถเข็น พูดเสียงเย็นชา “มีตระกูลสวีของพวกเราอยู่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรตระกูลซือหม่าของพวกคุณ”

“หัวหน้าถาง ขอให้คุณเชิญเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายของพวกคุณ ทำตามหน้าที่ด้วยความยุติธรรมด้วย ไล่คนของนิ่งซื่อกรุ๊ปออกไปให้หมด”สวีไป๋เห้อพูดเสนอแนะ

“อืม”หัวหน้าถางพยักหน้า มองหลินอิ่งอย่างน่าเกรงขาม พูดเคร่งขรึม “หลินอิ่ง ผมรู้ว่าคุณอำนาจใหญ่โตในตี้จิง แต่ทุกเรื่องต้องพูดถึงเหตุผล พูดถึงกฎหมายด้วย”

“อย่าหาว่าผมไม่ให้เกียรติคุณ คุณอยู่ที่นี่ อยู่ดีๆก็ข่มขู่นั่น ข่มขู่นี่ ยังลงมือทำร้ายคน”

“ผมจำเป็นต้องทำงานตามระเบียบ เชิญพวกคุณทั้งหมดของนิ่งซื่อกรุ๊ปออกไปจากภูเขาฉางชิง นอกจากนี้ คุณอยู่ก่อน ให้ความร่วมมือในการทำงานของเรา รอเจ้าหน้าที่ของสำนักงานหวู่อันมา”

มุมปากหลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา

“นิ่งซวน ให้คนของคุณลงมือ โยนคนพวกนี้ออกไปให้หมด”

“จากนั้น เริ่มงานทันที”

“ภูเขาฉางชิงเป็นที่ดินที่ผมประมูลมา ใครจะก่อกวน ก็โยนออกไป เกิดปัญหาอะไร ผมรับผิดชอบเอง”

“ครับ”นิ่งซวนพยักหน้าอย่างเคารพ

พูดไป นิ่งซวนก็โบกมือ ชายหนุ่มชุดดำยี่สิบกว่าคนข้างหลัง สีหน้าเย็นชาเดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นตรงเส้นเตือนภัย

“พวกแกอยากทำอะไร? ยังอยากใช้ความรุนแรง?”ซือหม่าเชี่ยวพูดอย่างไม่อยากเชื่อ

หัวหน้าถางสีหน้าก็เปลี่ยนแล้ว พูดว่า “หลินอิ่งคุณพูดอะไร? คุณอยากโยนพวกเราออกไป? คุณรับผิดชอบ ขัดขวางการทำงาน? คุณมีปัญญารับผิดชอบไหม?”

“เรื่องงาน ให้ผู้อำนวยการหวู่ที่อยู่ เหนือคุณมาพูดกับผม คุณ ระดับยังไม่ถึง”หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

เสียงฮวั๊ก

กำลังพูดอยู่ ทหารลับตระกูลนิ่งทั้งหลายก็พุ่งออกไปแล้ว ผลักฝูงคนออก ดึงคนของตระกูลซือหม่าหลายคน โยนออกไปจากเส้นเตือนภัย เหมือนกับโยนขยะทิ้ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท