ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 588 สำนักยุทธ์เชียนโมโห

บทที่ 588 สำนักยุทธ์เชียนโมโห

“มีผลการตรวจสอบแล้ว? เป็นไปได้ยังไง”สวีไป๋ห้อพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

ล้อเล่นอะไร คนก็เขาเป็นคนจัดเอง ทำหลักฐานปลอม จะเปลี่ยนคำให้การได้ยังไง?

กรมพาณิชย์จะได้ผลตรวจสอบเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?

นี่ หลินอิ่งคนนี้ พลังอำนาจในทางการใหญ่โตขนาดนี้ ประสิทธิภาพการทำงานเร็วขนาดนี้?

“นี่คุณพูดอะไร?”ผู้อำนวยการอู่มองสวีไป๋เห้อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผลการตรวจสอบของกรมพาณิชย์ คุณคิดว่ามันไม่ถูกต้องเหรอ? ถ้าคุณไม่เห็นด้วย ก็ไปฟ้องร้อง”

“ผม……”สวีไป๋เห้อไม่กล้าโต้แย้งกับอำนาจของผู้อำนวยการอู่ ในใจอดกลั้นความโกรธไว้

“งั้น ผู้นำ นี่มัน หลานของผมถูกหลินอิ่งทำร้ายในเขตก่อสร้างจนบาดเจ็บสาหัส หรือว่าคุณจะนิ่งดูดายไม่สนใจ?”ซือหม่าเชี่ยวก็ถามอย่างไม่พอใจ

ผู้อำนวยการอู่มองซือหม่าเชี่ยวอย่างลึกซึ้ง

“เรื่องนี้ ผมแนะนำคุณซือหม่า คุณไปแจ้งความที่สำนักงานเมือง เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่การดูแลของหน่วยงานเรา”

“นี่…….”ซือหม่าเชี่ยวก็จุกไปทันที พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“พอแล้ว พวกคุณทั้งหลาย จัดการให้เรียบร้อยกันเองเถอะ”

ผู้อำนวยการอู่พูดอย่างเชื่องช้า พูดจนถึงขั้นนี้ ก็พอแล้ว

เขาพาเลขาข้างกาย นั่งขึ้นไปบนรถAudiสีดำคันนั้น ขับออกจากภูเขาฉางชิง

พวกหัวหน้าถาง ก็ก้มหน้า ตามไปด้วยสีหน้าหดหู่ นั่งขึ้นไปบนรถราชการออกจากภูเขาฉางชิง

เหลือซือหม่าเชี่ยวและสวีไป๋เห้อทั้งกลุ่ม หน้าดำเคร่งเครียด

เห็นได้ชัด ที่พึ่งที่พวกเขาเชิญมา ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่า หลินอิ่งใช้วิธีอะไร ทำให้ผู้นำใหญ่ท่านนี้ ยังมีท่าทางที่หวาดกลัวขนาดนี้

“พวกคุณทุกคนฟังชัดเจนแล้วใช่ไหม?”หลินอิ่งมองไปที่ซือหม่าเชี่ยวและสวีไป๋เห้อ

“ผู้นำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพูดแล้ว โครงการภูเขาฉางชิง ไม่มีปัญหาใดๆ ถ้าพวกคุณยังขัดขวางงานก่อสร้าง ผู้ฝ่าฝืน ก็คือพวกคุณ”

ซือหม่าเชี่ยวและสวีไป๋เห้อ สีหน้าเคร่งเครียด แววตายังคงไม่พอใจอย่างมาก

เพียงแค่ พวกเขาจำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริง

ในทางการ พวกเขาก็สู้หลินอิ่งไม่ได้

เกมนี้ ก็แพ้อย่างราบคาบ

“ได้ หลินอิ่ง ถือว่าแกเก่ง แต่ว่า ฉันจะคอยดูว่าแกยังดิ้นรนได้อีกนานแค่ไหน”สวีไป๋เห้อพูดคำโหดออกไป สั่งบอดี้การ์ดเข็นรถเข็นเขากลับไป

“แคกแคก”ซือหม่าเชี่ยวไอแห้งไปสองครั้ง สีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราไป”

สีหน้าของทั้งสองคนไม่ดีอย่างมาก ท่ามกลางสายตาผู้คน ถูกคนหักหน้า ยังถูกคนไล่ออกไปด้วยหน้าหม่นหมอง

เรื่องในวันนี้ถูกลือออกไป ต้องเป็นเรื่องตลกในตี้จิงตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยแน่นอน

เป็นไปตามนั้น ซือหม่าเชี่ยวพาคนทั้งกลุ่มของตระกูลซือหม่า นั่งรถออกจากภูเขาฉางชิง

สวีไป๋เห้อก็ขึ้นรถ จากไปอย่างเศร้าซึม

ถ้าอยู่ต่อไป ก็แค่อับอายขายหน้าต่อหน้าหลินอิ่งเท่านั้น

หลินอิ่งมองดูรถจากไป สีหน้าเรียบเฉย มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา

เขาหยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรออก

“ฮัลโหล คุณชายอิ่ง ท่านมีคำสั่งอะไรครับ?”ทางโทรศัพท์ เป็นเสียงอันแหบแห้งของหวงชิงซานดังมา

หลินอิ่งถามอย่างเรียบเฉย “คนต้าเหอสองคนนั้นสอบอะไรได้บ้าง?”

“ดำเนินการราบรื่นมาก พวกเขาสองคนคายข่าวกรองทุกอย่างที่รู้ออกมาหมดแล้ว”หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้ พวกเราควบคุมสถานการณ์การจัดวางทั้งหมดของสำนักยุทธ์เชียนในตี้จิงไว้หมดแล้ว”

“ดีมาก คุณไปหาจ้าวเฉิงเฉียน นำข่าวกรองข้อมูลให้เขา ให้เขาปฏิบัติการทันที กำจัดคนของสำนักยุทธ์เชียนในตี้จิงทั้งหมด”หลินอิ่งพูดสั่งการ

“ครับ”

วางสายแล้ว แววตาของหลินอิ่งก็ค่อยๆเฉียบคมขึ้น

กงจิ่วตายแล้ว ตอนนี้สำนักยุทธ์เชียนไม่มีผู้นำ ต้องกำจัดทิ้งโดยไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว

ไม่มีสำนักยุทธ์เชียนค่อยช่วยอยู่ในที่ลับ ตระกูลสวีก็ไม่มีความหวังแล้ว

รออีกไม่กี่วันเปิดการประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง เปิดไพ่ชี้ขาด ทำลายอิทธิพลทั้งหมดในครั้งเดียว ของตระกูลสวีในตี้จิงที่สั่งสมมานานปี

งั้น ก็คือเวลาสิ้นสุดของตระกูลสวี…….

เวลานี้เอง รถไมบัคคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างเขตก่อสร้าง มีสาวงามของคนเดินลงมา

กงซุนชิวอวี่พาฉู่ฉู่ เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม

“คิกคิก”กงซุนชิวอวี่พูดอย่างหัวเราคิกคิก “พี่ เมื่อกี้พี่น่าเกรงขามที่สุดเลย ผู้นำใหญ่โตขนาดนั้น ยังให้เกียรติพี่ขนาดนั้น?”

หลินอิ่งพาพวกเธอสองคนมา ตอนที่คุยธุระ ให้พวกเธอนั่งรออยู่บนรถ ทั้งสอง ก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา

“ใช่แล้ว พี่ โครงการพัฒนาภูเขาฉางชิงนี้ พวกเราสามารถขอของขวัญเล็กๆกับพี่ได้ไหม?”กงซุนชิวอวี่นึกอะไรขึ้นมาได้ เปิดปากพูด

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “พูดเลย”

“เมื่อกี้หนูกับฉู่ฉู่ดูไปแล้ว ที่นี่วิวใช้ได้”กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “เพราะฉะนั้น หนูกับฉู่ฉู่เจรจากันแล้ว สามารถแบ่งที่ดินให้พวกเราแปลงหนึ่ง หนูคิดว่าจะเปิดร้านกาแฟห้องสมุดที่นี่กับฉู่ฉู่ นำมาเป็นพยานในความเป็นเพื่อนของเราสองคน”

หลินอิ่งพูด “เราเป็นผู้รับผิดชอบของตระกูลกงซุนในเมืองเทียนหลง เรื่องเล็กแค่นี้ต้องทักทายพี่ด้วยเหรอ?”

“พวกเราอยากให้พี่ลงชื่อเป็นอนุสรณ์ หนูเคยเห็นลายมือของพี่ เขียนได้ดีมาก”กงซุนชิวอวี่พูดอย่างออดอ้อน “อีกอย่างมีลายมือของคุณชายอิ่ง น่าเกรงขามขนาดไหน พี่ ได้ไหมคะ?”

หลินอิ่งมองกงซุนชิวอวี่อย่างลึกซึ้ง พูดว่า “ถึงเวลาค่อยพูดละกัน”

พูดจบ เขาก็หมุนตัว ไปหานิ่งซวนเป็นคุยเรื่องงานแล้ว

…….

สองวันผ่านไป

ภูเขาฉางชิงเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ทำการก่อสร้างพัฒนาไปอย่างคึกคัก

ส่วนเรื่องขัดแย้งในภูเขาฉางชิงที่เกิดขึ้นวันนั้น ก็ถูกเลื่องลือไปทั่วแวดวงไฮโซในตี้จิง ลือกันอย่างสนั่น

จากลักษณะภายนอกแล้ว ตระกูลสวีเหมือนจะอยู่ด้อยกว่า

เขตเหยียนหวง วิลล่าตระกูลสวี

ภายในห้องโถงใหญ่ตระกูลสวี

สวีไป๋เห้อและผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลสวี ต่างก็นั่งบนเก้าอี้ไม้อย่างหน้าม่อยคอตก สีหน้าล้วนดูไม่ดี

พวกเขาต่างก็ได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้อง ทุกวันนี้ ตระกูลสวีในตลาดใหญ่แห่งเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงนี้ แทบจะสูญเสียทุนในการต่อสู้กับหลินอิ่งแล้ว

สวีจิ่วหลิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ปรมาจารย์ตรงกลาง สีหน้าเคร่งเครียด พูดว่า “ไป๋เห้อ หลายวันนี้ติดต่อกับผู้อำนวยการอู่ เขาก็ยังไม่ยอมรับโทรศัพท์เหรอ? แม้แต่ฉันก็ไม่ให้เกียรติแล้ว?”

“พ่อ ทางด้านเขา ไม่อยากไปมาหาสู่กับตระกูลสวีของเราเลยสักนิด”สวีไป๋เห้อพูดจริงจัง “อำนาจของหลินอิ่งในทางการใหญ่เกินไป พวกเราต่อสู้กับเขาในด้านนี้ คาดว่าสู้เขาไม่ได้หรอก”

“งั้น คุณกงจิ่วล่ะ? ติดต่อได้ไหม?”สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

สวีไป๋เห้อพูดอย่างสงสัย “พูดไปแล้วก็น่าแปลก คุณกง ร่องรอยหายไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่นกพิราบส่งข่าวในมือเขา ก็ติดต่อไม่ได้”

“เฮ้อ”สวีจิ่วหลิงทำเสียงเย็นชา “ตอนเช้า ฉันได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากต้าเหอ บอกว่าเป็นคนของสำนักยุทธ์เชียน แทนตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ของกงจิ่ว น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเลย”

“ทางโน้นพูดว่า กงจิ่วสูญเสียการติดต่อกับองค์กร สงสัยว่าตายในตี้จิงแล้ว ยังบอกว่าองค์กรของพวกเขาในตี้จิงถูกทำลายอย่างหนัก พวกเขาส่งคนมาที่ตี้จิงด่วนแล้ว จะมาหาตระกูลสวีถามสถานการณ์ให้ชัดเจน”สวีจิ่วหลิงสีหน้าไม่ค่อยดี บอกข่าวใหญ่อย่างเชื่องช้า

“ตอนนี้ สำนักยุทธ์เชียนโมโหแล้ว พวกแก มองเรื่องนี้ยังไง? หรือว่ากงจิ่วตายไปแล้วจริง?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท