ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 586 เคลียร์พื้นที่อย่างแข็งแกร่ง

บทที่ 586 เคลียร์พื้นที่อย่างแข็งแกร่ง

“ทำอะไร? ทำอะไร? พวกแกนี่มันก่อกวนชัดๆ”

หัวหน้าถางสีหน้าลุกลี้ลุกลน รีบออกเสียงดุด่าเสียงดัง มองดูบอดี้การ์ดข้างกายถูกคนของหลินอิ่งโยนออกไปทีละคน

“นี่มัน นี่?”

สวีไป๋เห้อและซือหม่าเชี่ยวก็มองหน้ากัน รู้สึกไม่อยากเชื่อ

พวกเขาคิดไม่ถึง หลินอิ่งมาถึง พฤติการณ์การกระทำเผด็จการขนาดนี้?

ท่ามกลางสายตาผู้คน แม้แต่อำนาจเจ้าหน้าที่ทางการยังกล้าไม่สนใจ?

“ให้ฉันขวางไอ้คนนี้ไว้ ฉันจะดูว่าใครกล้าลงมือต่อหน้าผู้นำทั้งหลาย”ซือหม่าเชี่ยวพูดเคร่งขรึม

นายท่านตระกูลซือหม่าออกคำสั่ง คนทางด้านตระกูลซือหม่าก็พุ่งเข้าไป ขวางไว้ข้างหน้า

ฮวาฮวาฮวา

คนของทั้งสองฝ่ายก็ชกต่อยกันขึ้นมา ทั้งหมัดทั้งขาปะทะกัน สถานการณ์วุ่นวาย

หลินอิ่งส่งสายตาให้กับฮาเดส

สายตาของฮาเดสเต็มไปด้วยความเย็นชา พุ่งเข้าไป ถีบทีเดียวจนหัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลซือหม่าหงายหลัง ถีบเดียวก็ทำให้คนตีลังกาหงายหลัง โยนคนออกไปจากเส้นเตือนภัยอย่างป่าเถื่อน

ด้วยความรวดเร็ว ล้มหัวหน้าบอดี้การ์ดหลายคนที่นำทีม เหลือกลุ่มคนของตระกูลซือหม่า ต่างก็อยู่ในอาการตกใจ

ต่อจากนั้น ทหารลับตระกูลนิ่งลงมืออย่างรวดเร็ว โยนคนทั้งหมดออกไป

“ที่นี่คือที่ดินของผม ผมพูดเป็นครั้งสุดท้าย ใครยังยืนขัดขวางงานก่อสร้างที่นี่ ผมจะฝังมัน”หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย น้ำเสียงอันเรียบเฉยนั้นมีความน่าเกรงขามอย่างต้านทานไม่ได้

“หลินอิ่ง แกมันอวดดีเกินไป ยังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาไหม?”สวีไป๋เห้อพูดเสียงเคร่งขรึม หันไปมองพวกหัวหน้าถาง “หัวหน้าถาง พวกคุณเห็นแล้วใช่ไหม หลินอิ่งคนนี้ไม่ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในสายตาเลย ข่มขู่เจ้าพนักงานอย่างโจ่งแจ้ง”

หัวหน้าถางหน้าดำเคร่งเครียด รู้สึกไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าตำแหน่งหัวหน้ากระทรวง อาจจะยังปราบปรามคนใหญ่โตอย่างหลินอิ่งไม่อยู่

แต่ว่า แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็มาในฐานะเจ้าหน้าที่ทางการ คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังคือองค์กรกระทรวง

หัวหน้าถางพูดอย่างเย็นชา “หลินอิ่ง ผมขอเตือนคุณ คุณกล้าทำอะไรไปเรื่อย ผมจะรายงานเรื่องนี้ไปถึงผู้นำสูงสุด อย่าว่าแต่โครงการในภูเขาฉางชิงของคุณทำไม่ได้ ธุรกิจของคุณในเมืองเทียนหลงก็อย่าคิดที่จะทำเลย”

“ผมให้เวลาคุณสิบวินาที ให้คนของคุณออกไปเดี๋ยวนี้”

พูดไป หัวหน้าถางก็มือเท้าสะเอวยืนอยู่หน้าฝูงคน มองหลินอิ่งพูดจาท้าทาย

“คุณหลิน ในตี้จิงคุณก็ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตา หรือว่าแม้แต่กฎระเบียบแค่นี้ก็ไม่รู้? แม้แต่องค์กรกระทรวงก็ไม่อยู่ในสายตา?”

“กลับพูดคำพูดอะไรว่าพวกเราระดับไม่ถึง? คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?”

ผู้นำที่เกี่ยวข้องสองคนข้างกายหัวหน้าถาง ก็พูดอย่างโมโห

คำพูดนั้นของหลินอิ่ง พวกคุณระดับไม่พอ สะเทือนจิตใจของพวกเขาทั้งหลาย

ไม่มีคนอื่นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“เหอะ”หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา สายตาเรียบเฉยมองไปที่พวกหัวหน้าถาง “คุยเรื่องงาน ระดับของพวกคุณไม่ถึงจริงๆ”

“ในใจของพวกคุณคิดอะไรอยู่ ตัวเองก็น่าจะรู้ดี”หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “โครงการของผมในภูเขาฉางชิงบริสุทธิ์ถูกต้อง พวกคุณยังคิดกระทำลับหลังก่อกวนแบบนี้ ถึงเวลาอย่าโทษผมขุดคุ้ยเบื้องหลังของพวกคุณ ล้มพวกคุณลงจากตำแหน่ง”

“แก พูดจาอวดดี”

หัวหน้าถางโมโหฉับพลัน เส้นเลือดบนคอก็ผุดออกมาแล้ว จ้องหลินอิ่งสีหน้าเกรงขาม

เด็กหนุ่มแบบนี้ กลับกล้าข่มขู่พวกเขาต่อหน้า ลงจากตำแหน่ง?

เขาในฐานะคนมีหน้ามีตาในทางการของตี้จิง ไม่ว่ามหาเศรษฐีฐานะร่ำรวยแค่ไหน ต่อหน้าก็เคารพนับถือ

ยังไม่เคยถูกกดขี่ต่อหน้าแบบนี้มาก่อน

“คุณรอดู กับพฤติกรรมของคุณในวันนี้……”

“ลากตัวออกไป”

หัวหน้าถางยังอยากพูดคำโหดอะไรอีก หลินอิ่งก็ออกคำสั่งอย่างเรียบเฉยลงไปแล้ว

คำพูดเขายังไม่พูดไม่จบ ฮาเดสเดินเข้าไป ก็ลากตัวพวกหัวหน้าถาง เหมือนดึงตัวลูกไก่อย่างนั้น ดึงออกไป

“แก แก”

ท่ามกลางสายตาผู้คน ถูกคนใช้วิธีแบบนี้ “เชิญ”ออกไป พวกหัวหน้าถางทั้งหลายต่างก็สีหน้าแดงก่ำ รู้สึกถูกทำลายศักดิ์ศรี

หลินอิ่งมองพวกสวีไป๋เห้ออย่างเย็นชา พูดอย่างเย็นชา “สวีไป๋เห้อ ซือหม่าเชี่ยว วันนี้ที่ภูเขาฉางชิง ผมไม่อยากทำให้ที่ดินของผมสกปรก”

“ไป”

คำเดียวอันเย็นชาพูดออกไป ก็เหมือนดั่งสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางอกพวกเขาสองคน ทำให้พวกเขาสีหน้าเปลี่ยน

“นี่……”

“ได้ หลินอิ่ง ถือว่าแกโหด พาคนออกไปให้หมด”

ซือหม่าเชี่ยวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา หรี่ตาเล็กน้อย สายตาไม่พอใจอย่างมาก

ไม่นาน ซือหม่าเชี่ยวกับสวีไป๋เห้อก็พาคนทั้งกลุ่ม เดินออกไปแต่โดยดี ยืนอยู่นอกเส้นเตือนเขตก่อสร้าง

“หลินอิ่ง ถึงแม้ว่าแกจะบังคับไล่พวกเราออกมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? แกคิดว่าแบบนี้ โครงการของแกในภูเขาฉางชิงก็ดำเนินการได้ปกติเหรอ? วันนี้แกทำสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ ฉันจะดูว่าแกจะยุติยังไง”สวีไป๋เห้อนั่งอยู่บนรถเข็น พูดอย่างเย็นชา

ซือหม่าเชี่ยวมองหลินอิ่ง ทำเสียงเย็นชา พูดว่า “แกคิดว่าอาศัยวิชาการต่อสู้ก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้เหรอ? ขั้นตอนทางการไม่ครบถ้วน ที่ดินแปลงนี้ของแกก็คือการครอบครองอย่างผิดกฎหมาย ดูว่าแกจะรับได้ยังไง”

ซือหม่าเชี่ยวและสวีไป๋เห้อรักษารอยยิ้มอย่างเย็นชา

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว ถึงแม้ว่าจะเสียหน้า แต่ว่ารอบนี้ก็ไม่ได้แพ้ให้หลินอิ่ง

ด้านทางการไม่ได้จัดการเรียบร้อย หลินอิ่งยังอยากขัดขืนพัฒนา นั่นก็เป็นการขุดหลุมให้ตัวเอง

ก่อเรื่องราวจนใหญ่โต ก็จะทำให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่โตต่อบริษัทของหลินอิ่ง

ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโมโห ยังคิดอยากพัฒนาโครงการภูเขาฉางชิงตามปกติ? ฝันไปชัดๆ

“หลินอิ่ง ฉันโทรหาผู้อำนวยการอู่แล้ว เดี๋ยวผู้อำนวยการก็มาถึง ดูว่าแกจะมอบหมายยังไง”หัวหน้าถางพูดอย่าเคร่งขรึม

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “ก็ดี ผมก็อยากดูเหมือนกัน เรื่องนี้ผู้อำนวยการอู่ของพวกคุณจะพูดยังไง”

“นิ่งซวน คุณให้คนทำงานตามปกติ”หลินอิ่งหันไปพูด “ช่วงนี้ผมจะพักที่เมืองเทียนหลง ดูว่า ใครยังมาก่อกวนที่นี่อีก”

“ครับ”

นิ่งซวนพยักหน้าอย่างเคารพ รีบสั่งคนงานเดินเข้าไปในเส้นเตือนภัย เริ่มทำงานวัดสำรวจและเตรียมขุดภูเขา

พวกหัวหน้าถางมองท่าทางไร้ความเกรงกลัวของหลินอิ่ง ในใจยิ่งรู้สึกไม่พอใจ

เพราะว่ารักษาความมีอำนาจเป็นเวลานาน เคยชินแล้ว ทนไม่ไหวที่ถูกคนท้าทายอำนาจ

“เฮ้อ เหลวไหลจริงๆ”หัวหน้าถางพูดอย่างเย็นชา “หลินอิ่ง คุณทำแบบนี้ เท่ากับว่าปิดล้อมที่ดินอย่างผิดกฎหมาย ยึดครองอย่างผิดกฎหมาย ก่อเรื่องราวใหญ่โต คุณก็รอขึ้นศาลได้เลย”

หลินอิ่งมองหัวหน้าถางอย่างเย็นชา ส่ายหน้า

“ไร้สาระ”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพพวกหัวหน้าถาง แต่เพราะว่า คนพวกนี้ ให้ความร่วมมือกับตระกูลสวีปั้นเนื้อเป็นตัว บังคับถ่วงเวลาการก่อสร้าง

“แก!”

หัวหน้าถางถูกคำพูดนั้นสำลัก กลั้นความโกรธไว้ในลำคอ ยังอยากพูดอะไรอีก

เสียงแตรตุ๊ดตุ๊ด

ทันใดนั้น มีรถAudiสีดำขับมาจากทางไกล ยังมีรถของราชการอีกหลายคันขับตามมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท