ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 591 แอนนามาตี้จิง

บทที่ 591 แอนนามาตี้จิง

“คุณชายอิ่ง ผมขอล่วงเกินเตือนคุณสักคำ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “การประชุมสุดยอดเทียนหลงอีกสองวันข้างหน้า เกรงว่าจะเป็นศึกหนัก”

“อย่างไรเสีย ตระกูลชั้นสูง บริษัทเหล่านั้นในแวดวงตี้จิง ล้วนมองหาแต่ผลประโยชน์ ใครให้ผลประโยชน์เยอะ พวกเขาก็ติดตามคนนั้น” จ้าวเฉิงเฉียนพูดช้าๆ “นายท่านตระกูลสวีออกหน้า แล้วก็เงินทุนสนับสนุนมหาศาลจากชีซิงกรุ๊ป ผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดครั้งนี้ สุดท้ายจะเป็นยังไงยังพูดยาก”

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ

จ้าวเฉิงเฉียนพูดถูก

เมืองเทียนหลง นี่คือการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของสังคมตี้จิง คนมากมายต่างจับตาดูอยู่

ลำพังพึ่งแค่การใช้กำลังอย่างเดียว ไม่สามารถโน้มน้าวใจคนได้

การต่อสู้ในที่ลับ กงจิ่วตายแล้ว ทางฝั่งตระกูลสวีแพ้อย่างย่อยยับ

เรื่องภายนอกที่เห็นกันอยู่ ก็ยังมีตัวแปร

“คุณชายอิ่ง เท่าที่ผมรู้ ชีซิงกรุ๊ปร่วมพันธมิตรกับบริษัทต่างชาติ นายทุนต่างประเทศทั้งหมดในตี้จิงแล้ว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดข่าวสารเรื่องหนึ่งออกมา “ร่วมพันธมิตรกัน จ่อจงจำกัดปิดกั้นคุณ จุดนี้อาจจะทำให้ความเชื่อมั่นของทุกคนที่มีต่อคุณในการควบคุมเมืองเทียนหลงเกิดการสั่นคลอน……”

“ผมพอได้ยินมาบ้าง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินหยูจื๋อเฉิงรายงานสถานการณ์กับผม”

“บริษัทต่างชาติ นายทุนข้ามชาติพวกนั้น เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “ถ้าหากไม่รู้จักแยกแยะ ก็ให้พวกเขาไสหัวไปให้หมด”

“ไม่ต้องการทุนต่างชาติ เมืองเทียนหลงยังคงสามารถพัฒนาให้ใหญ่โตได้”

“คุณชายอิ่ง ผมเชื่อในความกล้าหาญและความสามารถของคุณ” จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “เพียงแค่ คนส่วนใหญ่ในโลกไม่มีวิสัยทัศน์อันยาวไกลและความกล้าหาญขนาดนี้”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ งั้นก็ต้องให้มันถึงที่สุด ให้บางส่วนออกไป”

“นายทุน ตระกูลชั้นสูงมากมายในตี้จิง ความคิดเสื่อมโทรมไปแล้ว ประจบประแจงชาวต่างชาติ ก็ควรคัดออกแล้ว…….

ได้ยินแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าตกใจเล็กน้อย หัวใจเต้นแรง

ตอนแรกเขาคิดว่าหลินอิ่งแค่จะสู้รบกับรู้แพ้รู้ชนะกับตระกูลสวีเพียงง่ายๆเท่านั้น

วันนี้ดูแล้ว ความทะเยอทะยานของหลินอิ่งมากขึ้นกว่าเดิม

นี่คือจะฉวยโอกาสใช้เหตุการณ์ใหญ่โตของเมืองเทียนหลงนี้ เลือกเจ้าเปลี่ยนนายใหม่ เปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยของแวดวงสังคมตี้จิงแล้ว

ในใจของจ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกประทับใจ

เขานึกขึ้นมาได้ ครั้นนั้นหลินอิ่งเคยทำเรื่องแบบนี้ที่เมืองก่าง

ที่เมืองก่าง หลินอิ่งล่มสลายอภิมหาเศรษฐีจี้ฉงซานที่ยึดครองมานานหลายสิบปีในครั้งเดียว เปลี่ยนแปลงระบบของเมืองก่างใหม่ ในแวดวงธุรกิจเมืองก่างเย่อหยิ่งไม่มีคนอื่นในสายตา

ตอนนี้ กลับคิดจะควบคุมระเบียบการเงิน ระเบียบตระกูลชั้นสูงทั้งหมดของตี้จิง

ความยากระหว่างทั้งสองอย่าง ต่างกันราวฟ้ากับดิน

เศรษฐกิจในเมืองก่างจะเจริญแค่ไหน เทียบกับรากฐานของตี้จิงแล้ว มันยังห่างกันไกล

อยากยึดครองตี้จิง…….ยากเหมือนดั่งขึ้นสวรรค์

“ทำไม? คุณรู้สึกว่ายากมากเหรอ?” หลินอิ่งสังเกตเห็นสีหน้าจ้าวเฉิงเฉียนเปลี่ยนแปลง ถามอย่างเรียบเฉย

จ้าวเฉิงเฉียนพูดจริงจัง “ผมไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ”

ถ้าคำพูดนี้คนอื่นเป็นคนพูด จ้าวเฉิงเฉียนต้องรู้สึกว่าพูดล้อเล่นแน่นอน

ตี้จิงเป็นดินแดนที่ซ่อนคนเก่งมีพรสวรรค์มากมาย ที่ไม่แสดงตัวไม่แสดงความสามารถไม่รู้ว่าซ่อนสิ่งใหญ่โตมหึมาแค่ไหนไว้ แม้แต่เขาจ้าวเฉิงเฉียน คนที่มีความสามารถและถือดีขนาดนี้ ยังไม่กล้าคิดอยากเป็นใหญ่ในกลุ่มตระกูลชั้นสูงแห่งตี้จิง

แต่ว่า หลินอิ่งไม่เหมือนกัน

หลินอิ่งเคยแสดงให้เห็นแล้ว ทำได้แล้ว เรื่องที่คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะคิด

ความสามารถของคนคนนี้ แทบจะไม่อาจจินตนาการได้

“ใช่แล้ว คุณชายอิ่ง เรื่องครั้งที่แล้วที่กงจิ่วปรากฏตัว ผมหาหนอนบ่อนไส้เจอแล้ว” จ้าวเฉิงเฉียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เปลี่ยนเรื่องพูด “เป็นคนของสาขาย่อยในแก๊งหยางเหมินของผม ถูกสำนักยุทธ์เชียนรับซื้อ วันนั้นรู้ว่าผมกับคุณเจอกัน เขาก็ส่งข่าวให้กงจิ่ว”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “ผมรู้แล้ว”

ได้ยินประโยคนี้ จ้าวเฉิงเฉียนก็รู้สึกโล่งใจ ใจรู้ว่าหลินอิ่งไม่ได้สงสัยมาที่ตัวเขาแล้ว

“คุณชายอิ่ง ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ช่วงนี้ มีคนลึกลับกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวในตี้จิง” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ที่มาผมก็ไม่แน่ใจ ดูเหมือนพวกเขาจับตาดูผมอยู่”

“ออ?” หลินอิ่งมองจ้าวเฉิงเฉียน รู้สึกสนใจขึ้นมา

“กลุ่มคนที่คุณพูดถึง อำนาจใหญ่มาก? ด้วยอำนาจของคุณนายตี้จิงแล้ว ยังไม่รู้ที่มาอย่างชัดเจน?”

“ใช่ ตัวผมเองถูกพวกเขาจับตา” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอตัวต่อตัว แต่ว่า ผมแน่ใจ คนกลุ่มนั้นทักษะการต่อสู้สูงมาก ความสามารถแข็งแกร่งมาก”

หลินอิ่งแววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้ จับตาดูเจ้าตัวจ้าวเฉิงเฉียน?

ยังทำให้จ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกกลัวในภายหลัง?

มีอำนาจความสามารถระดับนี้…….

จิตใต้สำนึกของหลินอิ่ง ก็คิดถึงองครักษ์มังกรดำ แล้วก็ยามมังกรเขียวที่ไม่เคยแสดงตัวในตี้จิงเลย

อย่างไรเสีย คนกลุ่มนั้นที่ไล่ฆ่าหวงชิงซานในตี้จิง ยังไม่ปรากฏตัว

ครั้นนั้นที่ตัวเองบีบจนจี้ฉงซานตาย องครักษ์มังกรดำก็ไม่ได้ปรากฏตัว…….

จ้าวเฉิงเฉียนมองดูหลินอิ่งเข้าสู่ห้วงแห่งความคิด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“คุณชายอิ่ง ผมบอกข่าวนี้กับคุณ คิดว่า ถึงเวลาจำเป็น ยังขอให้คุณลงมือช่วยเหลือ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ถ้าถึงขั้นที่ต้องขอให้คุณออกมือช่วย ผมจะตอบแทนในสิ่งที่เท่าเทียมกัน”

หลินอิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พยักหน้า พูดว่า “ได้”

สำหรับกลุ่มคนลึกลับที่จ้าวเฉิงเฉียนพูด เขาระวังอย่างมาก มีความสังหรณ์ใจบางอย่าง และประหลาดใจมาก

ปรากฏตัวฉับพลันในตี้จิง ยังสามารถให้ความกดดันกับจ้าวเฉิงเฉียนขนาดนี้ มาแจ้งให้เขารู้ล่วงหน้า

เห็นได้ว่า ความสามารถของคนกลุ่มนั้นเป็นยังไง

“งั้นต้องขอบคุณคุณชายอิ่งล่วงหน้า” จ้าวเฉิงเฉียนยกมือคำนับ พูดอย่างเคารพ

แน่นอน ช่วงหลายวันนี้ ในใจจ้าวเฉิงเฉียนแบกรับความกดดันมหาศาล

คนกลุ่มนั้นที่จับตาเขาอยู่ ไม่ได้ล้อเล่น

ที่น่ากลัวที่สุด คือไม่รู้ที่มาแม้แต่น้อย…….

ก๊อกก๊อก

เวลานี้ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

ฮาเดสเดินเข้ามา พูดอย่างเคารพ “ประธานหลิน แอนนามีตี้จิงแล้ว”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “แอนนา? คนหญิงคนนั้นของตระกูลโครเมียร์?”

“ใช่ครับ ประธานหลิน คุณแอนนาคนนั้นมาถึงภูเขาฉางชิงแล้ว มาหาท่าน” ฮาเดสรายงานอย่างเคารพ “เธอยังพาคนของตระกูลโครเมียร์มาด้วย บอกว่าอยากหาท่านเพื่อเจรจาธุรกิจ”

“เจรจาธุรกิจ?” แววตาหลินอิ่งเปลี่ยนเป็นคมลึก ไม่รู้ว่าโครเมียร์ แอนนาคิดอะไรอยู่

มาไกลจากเมืองก่างเพื่อมาหาตัวเองที่ตี้จิง?

“เธออยู่ไหน?” หลินอิ่งถาม

“เอ่อ ประธานหลิน คุณแอนนาอยู่ที่ทางเข้าภูเขาฉางชิง เจอกับคุณหนูกงซุน ทั้งสองเกิดเรื่องขัดแย้งกัน ตึงเครียดอยู่นอกประตู…….” ฮาเดสพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานหลิน สองท่านนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องกันเพราะอะไร คุณหนูกงซุนเรียกยอดฝีมือของตระกูลกงซุนมาแล้ว คุณแอนนาก็ไม่พอใจ บอดี้การ์ดทั้งสองฝ่ายก็เรียกมากันแล้ว เรื่องราวค่อนข้างใหญ่โต”

“พวกเราคนอื่นๆก็ห้ามปรามไม่ได้ หรือไม่ท่านไปดูสถานการณ์หน่อย?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท