ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 592 ความน่าเกรงขามของตระกูลโครเมียร์?

บทที่ 592 ความน่าเกรงขามของตระกูลโครเมียร์?

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำบ้าอะไร ทำไมถึงมีเรื่องกับกงซุนชิวอวี่

“ผมรู้แล้ว ไปกันเถอะ”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ มองจ้าวเฉิงเฉียนไปทีหนึ่ง

“คุณชายอิ่ง เรื่องของคุณสำคัญ” จ้าวเฉิงเฉียนก็ลุกขึ้นยืน ตามอยู่ข้างหลัง

ตามนั้น ทั้งสองเดินออกจากคฤหาสน์พร้อมกัน ไปที่ทางเข้าภูเขาฉางชิง

จ้าวเฉิงเฉียนตามอยู่ข้างหลังหลินอิ่ง แววตาซับซ้อน สีหน้าเปลี่ยน

โครเมียร์ แอนนา

ผู้หญิงคนนี้ตอนอยู่เมืองก่างเขาเคยเห็น รู้สึกมีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับหลินอิ่ง

กลับวิ่งมาหาหลินอิ่งที่ตี้จิงจากเมืองก่าง ?

ต้องรู้ว่า ตระกูลโครเมียร์ของโลกมืดแห่งตะวันตก อยู่ในต่างประเทศชื่อเสียงโด่งดัง อำนาจใหญ่โตอย่างมาก

ภูเขาฉางชิง ที่เชิงเขา ตรงทางเข้าเส้นเตือนภัย

ขณะนี้ ตรงทางเข้ามีรถเบนท์ลี่ย์สีดำจอดเป็นคันๆ จัดเรียงเป็นขบวนรถหรูอย่างสง่าราศี

มีบอดี้การ์ดหุ่นกำยำกลุ่มหนึ่งเรียกกันเป็นแถว ติดตามสาวสวยผมทองคนหนึ่ง และชายหนุ่มผมทองหยิกใส่แว่นคนหนึ่ง

ส่วนตรงข้าม บอดี้การ์ดชุดสูทกลุ่มหนึ่งกำลังคุมเชิงกับพวกเขาอยู่

ทั้งสองฝ่าย สภาพสถานการณ์ตึงเครียด บรรยากาศตื่นเต้นมาก

“โอ้ พี่แอนนา ช่างน่าสนุกจริงๆ สาวประเทศหลุงคนนี้ร้อนแรงมาก ยังอยากใช้อาวุธกับเรา?” ชายผมหยิกถอดแว่นกันแดดออก สำรวจดูกงซุนชิวอวี่ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“เฮ้อ ควินสัน นายสร้างเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ที่นี่คือประเทศหลุง นายต้องรู้จักสำรวมหน่อย” โครเมียร์ แอนนาจับหน้าผาก พูดตักเตือนเสียงเบาอยู่ข้างชายผมหยิก

ผู้ชายผมหยิก ชื่อว่าโครเมียร์ ควินสัน เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องของแอนนา และเป็นคุณชายที่มีอำนาจมากคนหนึ่งภายในตระกูลโครเมียร์

สำหรับความเคลื่อนไหวของน้องชายคนนี้แอนนาก็ไม่มีวิธีแม้แต่น้อย นิสัยเลินเล่อเกินไป เป็นคนยโสโอหัง เห็นผู้หญิงสวยก็ชอบพูดจาแทะโลม

ครั้งนี้เธอมาหาหลินอิ่ง คนยังไม่ได้เจอ ควินสันก็เพราะความเจ้าชู้ ก่อเรื่องราวขึ้นแล้ว

“สำรวม? ไม่ไม่ไม่ พี่แอนนา พวกเราเป็นแขกพิเศษของหลินอิ่ง หลินอิ่งอยู่ในตี้จิงเก่งกาจมากไม่ใช่เหรอ ที่นี่ก็เป็นถิ่นของเขา หรือว่าพวกเราทำอะไรยังต้องดูสีหน้าคนอื่นเหรอ?” ควินสันพูดอย่างยโส “ผู้หญิงคนนี้ลงมือตบผม ถึงแม้ว่าไม่เจ็บ แต่ว่าผมก็ต้องสั่งสอนเธอดีๆหน่อย”

แอนนาก็ไม่มีอะไรจะพูด สำรวจมองกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่หัวจรดเท้า

“นายยังอยากสั่งสอนฉัน? นายคิดว่านายเป็นใคร?” กงซุนชิวอวี่สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก พูดด้วยน้ำเสียงแข็งแกร่ง “อย่าคิดว่ารู้จักพี่ชายฉัน ก็จะมาก่อกวนที่นี่ได้”

“เหอะๆๆ หลินอิ่งคือพี่ชายเธอเหรอ?” ควินสันมองกงซุนชิวอวี่ด้วยสีหน้าหยอกล้อ “งั้นเธอคงยังไม่รู้ซินะ? พี่ชายของเธอติดหนี้บุญคุณพวกเรา ถ้าไม่ใช่พวกเราช่วยเหลือเขาแต่แรก เขาจะเป็นเหมือนอย่างตอนนี้ได้ยังไง สามารถครอบงำทุกสิ่งในประเทศหลุงได้?”

“ช่วยเหลืออะไร? ฉันไม่รู้ว่านายพูดอะไร” กงซุนชิวอวี่สีหน้าโมโหเล็กน้อย พูดแย้งขึ้นมาทันที “ฉันไม่สนว่าพวกคุณเป็นใคร ทางที่ดีที่สุดรีบขอโทษฉู่ฉู่เดี๋ยวนี้”

สำหรับคนต่างชาติกลุ่มนี้ที่มาเยือนกะทันหัน ตอนแรกกงซุนชิวอวี่ยังเกรงใจมาก

แต่ว่า ชายหนุ่มที่ชื่อควินสันคนนี้ กลับพูดจาแทะโลมฉู่ฉู่ พูดจาไม่สุภาพ ยังคิดอยากลงมือแตะเนื้อต้องตัว

ด้วยความโกรธ ฉู่ฉู่จึงตบหน้าควินสันไปทีหนึ่ง ผู้ชายต่างชาติคนนี้ยังอาละวาด

เมื่อครู่ บอดี้การ์ดทั้งสองฝ่ายจะปะทะฝีมือกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้ออยู่นี่

“ขอโทษ? เธอกำลังล้อเล่นใช่ไหม?” ควินสันยักไหล่ ท่าทางสภาพไม่ใส่ใจสักนิด “เขาควรขอโทษฉันถึงจะถูก ไม่ ควรต้องใช้ร่างกายมาชดเชยถึงจะสามารถดับความโมโหของฉันได้”

“ฉันก็แค่พูดชื่นชมเธอไปแค่ไม่กี่คำ อยากทักทายเธอด้วยการจูบเท่านั้น เธอกลับตบหน้าฉัน?” ควินสันพูดด้วยเสียงเย็นชา “ใช้ภาษาประเทศหลุงพวกเธอ มองข้ามความหวังดีของคนอื่นชัดๆ”

“แล้วก็ฉันจะบอกเธอ ฉันเป็นคนของตระกูลโครเมียร์ บางทีเธอคงต้องไปสืบดูหน่อยนะ ว่าตระกูลนี้หมายถึงอะไร” ควินสันพูดอย่างทะนงตัว

“ตระกูลโครเมียร์แล้วยังไง? ไม่เคยได้ยิน” กงซุนชิวอวี่มือกอดแขน พูดเสียงเคร่งขรึม “ฉู่ฉู่เป็นแขกพิเศษของพี่ชายฉัน ในถิ่นของพี่ชายฉัน พวกคุณยังอวดดีขนาดนี้ พี่ชายของฉันนิสัยไม่ดีอย่างมาก รอเขามา ดูพวกคุณจะอธิบายยังไง”

“อธิบาย?” ควินสันยักไหล่ ท่าทางสภาพไม่แยแส “ถ้าไม่เห็นแก่หน้าหลินอิ่ง ฉันจับเธอสองคนไปแต่แรก โยนขึ้นเตียงแล้ว”

“ก็รอหลินอิ่งมาละกัน ดูว่าเขาจะอธิบายกับพวกเรายังไง ตระกูลโครเมียร์ของเรา มีความน่าเกรงขามของตระกูลโครเมียร์ของเรา”

พูดไป สายตาของควินสันก็กวาดมองไปบนร่างของกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่อย่างกำเริบเสิบสาน

เท่าที่เขาดูแล้ว ตัวเองสำรวมอย่างมากแล้ว ก็แค่พูดจาแทะโลมสองสาวไปไม่กี่คำเท่านั้น ยังไม่ได้ลงมือเลย

ถ้าหากเจอสาวสมบูรณ์แบบสองคนนี้ในต่างประเทศ ใช้อำนาจพากลับไปตั้งนานแล้ว อยากเล่นยังไงก็เล่นอย่างนั้น

แอนนามองควินสันไปทีหนึ่ง ส่ายหัว และไม่ได้พูดห้ามปรามอีก

น้องชายคนนี้นิสัยเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ใครก็ควบคุมไม่ได้ ยโสโอหังโดยสันดาน

ใครให้เขาเกิดในตระกูลโครเมียร์ล่ะ?

โลกแห่งความมืดตะวันตก ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเวสต์แลนส์

ตำแหน่งนี้ ในต่างประเทศแม้แต่ผู้นำประเทศเล็กๆยังตกใจ

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อกัน

หลินอิ่งเดินมาอย่างช้าๆ ข้างกายมีฮาเดสและจ้าวเฉิงเฉียน

“พี่ชาย พี่มาแล้ว” กงซุนชิวอวี่พอเห็นหลินอิ่ง ก็รีบเดินเข้าไป “มีคนรังแกหนูกับฉู่ฉู่ พี่ ก็คือฝรั่งสองคนนี้ ยังบอกว่ามาหาพี่”

“คุณหลิน” ฉู่ฉู่ก็ทักทายกับหลินอิ่งอย่างเขินอาย

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “พี่จัดการเอง”

พูดไป แววตาอันเฉียบคมของหลินอิ่งก็มองไปที่แอนนาและควินสัน

สายตานี้มองไป ควินสันขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรับท่ายืนตรงอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่กล้าอยู่ในท่าทางโอ้อวดยโสโอหัง

พบกันครั้งแรก ในใจของควินสันไม่รู้เพราะอะไร รู้สึกว่าเห็นหลินอิ่ง เสมือนมีความหวาดกลัวแบบที่เห็นท่านเอิร์ลปู่ของเขา

ความน่าเกรงขามที่โกรธก็ดูน่ากลัว ทำให้เขาหวาดกลัวจากใจ

“หลินที่รัก ไม่เจอกันตั้งนานเลย ฉันบินมาจากเมืองก่างเพื่อหาคุณโดยเฉพาะเลย”

แอนนาเห็นหลินอิ่งมาถึง ใบหน้ายิ้มแย้ม เดินเข้าไปอย่างไม่มีข้อห้าม กางแขนสองข้างแล้วกอดหลินอิ่ง

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือขวางแอนนาไว้

“ระวังพฤติกรรมของคุณ”

“เป็นอะไร? หลินที่รัก เมื่อก่อนเราอยู่ที่เมืองก่างก็แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” แอนนาสายตาผิดหวัง พูดอย่างไร้เดียงสา

เสียงจุ๊บทีหนึ่ง ฉวยโอกาสตอนที่หลินอิ่งไม่ระวัง แอนนาจูบที่หลังมือของเขา

“โอเคแล้ว หลินที่รัก นี่เป็นของขวัญสูงสุดในการพบกันที่ฉันให้คุณ พิเศษเฉพาะคุณคนเดียวเท่านั้น” แอนนาพูดอย่างยิ้มแย้ม

“นี่” กงซุนชิวอวี่เห็นภาพนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าดำเคร่งเครียด มองหลินอิ่งด้วยความโกรธ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท