ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 595 สัญญาในปีนั้น

บทที่ 595 สัญญาในปีนั้น

“คุยธุระ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มองคุณชายโหมไปทีหนึ่ง

ตามคำพูดของคุณชายโหม คือท่านเอิร์ลของตระกูลโครเมียร์ท่านนั้นสังเกตเห็นตัวเองแล้ว?

ชัดเจนว่า คุณชายโหมท่านนี้รับหน้าที่จากท่านเอิร์ลโลกมืดแห่งตะวันตกท่านนั้นมาโดยเฉพาะ

หลินอิ่งในหลายปีก่อน ตอนที่เป็นตัวแทนกองทหารไปรบที่ต่างประเทศ เคยคบค้าสมาคมกับท่านเอิร์ลมาก่อน

หลังจากสงครามในปีนั้นแล้ว มีสัญญากันไว้ อำนาจโลกมืดแห่งตะวันตกทั้งหมด ห้ามแตะต้องประเทศหลุง

ส่วนการกระทำผิดปกติที่ตระกูลโครเมียร์ปฏิบัติต่อตัวเอง ทำให้หลินอิ่งอดสงสัยในใจไม่ได้

คาดว่าท่านเอิร์ล คงเดาฐานะของตัวเองออกแล้ว รู้ว่าตัวเองคือผู้สร้างสงครามศึกในต่างประเทศครั้งนั้นในปีนั้น

“ใช่แล้ว คุณหลิน พวกเรามาด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง” คุณชายโหมพูดอย่างถ่อมตน

หลินอิ่งคิดไปคิดมา มองไปที่ฉู่ฉู่และกงซุนชิวอวี่

“พวกคุณสองคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องทางนี้ ผมจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”

กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหล่ตามองโครเมียร์ แอนนา สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก พูดเสียงเบาอยู่ข้างกายหลินอิ่ง “พี่ พี่ต้องป้องกันนางฝรั่งคนนั้นไว้ด้วยนะ เอาอกเอาใจโดยไร้เหตุ เธอมีปัญหา”

ในใจของเธอ เกลียดชังต่อโครเมียร์ แอนนาอย่างมาก

ภาพลักษณ์ครั้งแรกก็ไม่ดีอย่างมาก มีน้องชายลามกไร้มารยาท ยังยั่วยวนต่อหลินอิ่งอีก

ถึงแม้ว่าจะตบน้องชายของแอนนาแล้ว ก็ยังรู้สึกไม่หายโมโห

หลินอิ่งก็ไม่ได้อธิบายอะไรกับกงซุนชิวอวี่อีก มองไปที่คุณชายโหม พูดว่า “ไปเถอะ”

พูดจบ ก็หมุนตัวเดินไปทางเขตคฤหาสน์ในเชิงเขา

ห้านาทีผ่านไป

ในเขตคฤหาสน์เชิงเขา ภายในคฤหาสน์หรูที่สุดตรงกลาง

หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ บนโต๊ะไม้ยาวสวยหรู จัดวางของหวานอาหารว่างอย่างประณีตเป็นจานๆ และน้ำชาดำหนึ่งเหยือก

หลี่ผูยืนอยู่ด้านข้าง บริการเทน้ำชา

คุณชายโหมและแอนนายืนอยู่ข้างโต๊ะ มองสังเกตรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง

ส่วนควินสัน ถูกจัดไว้ในห้องโถงรับรองแขก ดูเหมือนก็กลัวหลินอิ่งแล้ว ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลินอิ่งอีก

“นั่ง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ยกมือเพื่อบอก

คุณชายโหมและแอนนาคำนับอย่างมารยาท นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้

“คุณหลิน ที่นี่ของคุณตกแต่งได้ดีมาก มีเอกลักษณ์ของประเทศหลุงของพวกคุณอย่างมาก คุณช่างเป็นผู้ชายที่มีรสนิยมจริงๆ” แอนนาพูดอย่างยิ้มแย้ม เริ่มประจบขึ้นมา

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “มีเรื่องอะไร ก็พูดตามตรงเลย เวลาของผมมีจำกัด”

“แคกแคก” คุณชายโหมไอแห้งไปสองครั้ง พูดอย่างจริงจัง “คุณหลิน ก่อนอื่น ผมต้องแสดงความขอบคุณแทนท่านเอิร์ล สำหรับการช่วยเหลือของคุณที่เมืองก่างครั้งที่แล้ว”

“ท่านเอิร์ลบอกว่า ถ้าไม่ใช่คุณพยักหน้าตกลง เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลโครเมียร์จะพัฒนาธุรกิจในเมืองก่างได้ราบรื่นขนาดนี้ เพราะเหตุนี้ ท่านเอิร์ลส่งผมมาโดยเฉพาะ ช่วยงานคุณเรื่องหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับครั้งที่แล้ว”

หลินอิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมา พูดว่า “ช่วยงานผม? เรื่องอะไร?”

เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าท่านเอิร์ลคนนี้จะเสนอตัวกระตือรือร้นแบบนี้ ส่งยอดฝีมือระดับคุณชายโหมแบบนี้ มาช่วยเหลือตัวเอง?

“เราได้ยินข่าวบางส่วนของตี้จิงในต่างประเทศ รู้ว่าคุณหลินทำโครงการใหญ่ในตี้จิงอยู่ คือเมืองใหม่เทียนหลง” คุณชายโหมพูดอย่างเชื่องช้า “พอดี มีบริษัทข้ามชาติจากต่างประเทศที่มาขยายธุรกิจในตี้จิง มีการไปมาหาสู่กับตระกูลโครเมียร์ของเรา ได้ยินมาว่า พวกเขาร่วมมือกัน เจาะจงทำการปิดกั้นต่อคุณหลิน”

หลินอิ่งสายตาเฉียบคม พูดว่า “คุณพูดต่อ”

คนของตระกูลโครเมียร์ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว ทำการบ้านมาอย่างดี

แม้แต่ความเคลื่อนไหวของตัวเองในตี้จิง แม้กระทั่งถูกบริษัททุนต่างชาติเจาะจง ก็ได้รับข่าวสารแล้ว

แต่ไม่รู้ว่า ตระกูลของพวกเขามีแผนการอะไรกันอยู่

คุณชายโหมพูดอย่างจริงจัง “คุณหลิน จุดนี้หวังว่าคุณอย่าเข้าใจผิด คุณเป็นผู้ร่วมงานที่ทรงเกียรติที่สุดของตระกูลโครเมียร์ เพื่อนที่น่าเคารพ พวกเราแค่ติดตามสถานการณ์ของคุณตลอด รู้มาโดยบังเอิญ”

“เท่าที่พวกเรารู้ คือสหพันธ์ที่ชีซิงกรุ๊ปแห่งเกาหลี ก่อตั้งขึ้นมา” คุณชายโหมพูดอย่างเชื่องช้า “ชีซิงกรุ๊ปจะแย่งธุรกิจกับคุณในตี้จิง”

“ใช่” หลินอิ่งพยักหน้า ถามอย่างสงสัย “ท่านเอิร์ลของพวกคุณให้คุณมา ก็เพื่อจะช่วยผมจัดการเรื่องนี้?”

“คุณหลินยอดเยี่ยมมาก” คุณชายโหมพูดชื่นชมด้วยน้ำเสียงถ่อมตัว “เพื่อตอบแทนการช่วยเหลือในเมืองก่างครั้งก่อน ท่านเอิร์ลให้ผมออกหน้าแทนตระกูล สยบบริษัทต่างชาติ”

“ขอให้คุณเชื่อถือบารมีชื่อเสียงของตระกูลเรา ในสากลระหว่างประเทศ อยู่เหนือชีซิงกรุ๊ปอย่างมาก”

ใบหน้าหลินอิ่งเริ่มมีความสนใจ

ไม่มีของฟรีในโลก

ตระกูลโครเมียร์เข้ามาหาก่อน ต้องมีความต้องการแน่นอน

แต่ก็เป็นอย่างที่คุณชายโหมพูดจริง ผลกระทบในสากลระหว่างประเทศของตระกูลโครเมียร์ สูงกว่าชีซิงกรุ๊ปเยอะมาก

ขอแค่ตระกูลพวกเขาพูดแค่คำเดียว บริษัทต่างชาติในตี้จิง ไม่มีใครกล้าเป็นอริกับตัวเองอีก

“พวกคุณอยากได้อะไร?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

คุณชายโหมพูด “คุณหลิน ไม่มีเรื่องอะไรปิดบังคุณได้เลย พวกเรารู้สึกว่า ในโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง คุณกับตระกูลของเรา มีช่องว่างในการร่วมงานกันใหญ่มาก”

“ในส่วนของบริษัทต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นกิจการสาขาด้านไหนก็แล้วแต่ รวมถึงด้านเทคนิค พวกเราจะให้ทรัพยากรทางการค้าที่ดีที่สุดแก่คุณ”

พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของคุณชายโหมก็เคร่งเครียดอย่างมาก มองอยู่ที่หลินอิ่ง พูดว่า “ตระกูลโครเมียร์ของเรา แค่อยากมีพื้นที่จุดยืนส่วนหนึ่ง ในตี้จิงเท่านั้น”

สายตาหลินอิ่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองคุณชายโหมอย่างลึกซึ้ง

“นี่คือเป้าหมายที่ท่านเอิร์ลของพวกคุณอย่างได้?”

“ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณลืมไปแล้วใช่ไหม? สัญญาหลังจากสงครามในปีนั้น”

สายตาที่มองไปของหลินอิ่ง ทำให้สีหน้าของคุณชายโหมเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ

เขารู้ว่าที่หลินอิ่งพูดคือสัญญา

หลายปีก่อน เกิดเหตุการณ์วุ่นวายครั้งใหญ่ในโลกมืดแห่งตะวันตก

อำนาจเคลื่อนไหวของแต่ละตระกูลในโลกมืดแห่งตะวันตก เกิดสงครามวุ่นวาย ต่างก็อยากขยายอำนาจเข้าสู่ประเทศหลุง

สุดท้าย กองทหารประเทศหลุง ส่งยอดฝีมือในการสู้รบที่เก่งที่สุด ถึงสถานที่นัดหมายในต่างประเทศ ชนะในศึกเดียว

ยอดฝีมือระดับสูงในโลกมืดแห่งตะวันตกตายและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ต่างก็ตายภายใต้มือของเด็กหนุ่มไม่รู้ชื่อคนหนึ่ง ผู้คนเรียกว่า ผู้สุพรีมแห่งประเทศหลุง

สัญญาหลังสงคราม อำนาจโลกมืดแห่งตะวันตก ห้าปี ห้ามก้าวเข้าสู่ประเทศหลุงแม้แต่ครึ่งก้าว

จากนั้น อำนาจโลกมืดแห่งตะวันตกก็หวาดกลัวต่อฝีมือการสู้รบอันน่ากลัวของชายหนุ่มลึกลับคนนั้น ตามสัญญาไม่กล้าก้าวสู่ประเทศหลุงแม้แต่น้อย

คุณชายโหมรู้ดี ท่านเอิร์ลสั่งกำชับต่อหน้าแล้ว

ชายหนุ่มลึกลับคนนั้น เป็นไปไหนอย่างสูงก็คือหลินอิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“สัญญานั้น……..” คุณชายโหมเงียบไปครู่หนึ่ง พูดอย่างช้าๆ “คุณหลิน ครั้งที่แล้วคุณก็ให้ตระกูลโครเมียร์ของเรา ก้าวสู่เมืองก่างแล้วไม่ใช่หรือ? สามารถเปิดทางให้อีกนิดได้ไหมครับ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท