ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 597 ทำตามกฎของผม

บทที่ 597 ทำตามกฎของผม

“คุณหลิน คุณ……”

คุณชายโหมพูดพลางเหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก รู้สึกถึงเจตนาฆ่าอันแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากหลินอิ่ง สั่นอย่างช่วยไม่ได้

ในโอกาสแบบนี้ ถ้าหลินอิ่งมีจิตใจที่จะฆ่าขึ้นมาจริงๆ

เขา ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

“คุณหลิน เรื่องที่ท่านเอิร์ลเขียนอธิบายมาในจดหมาย ผมไม่รู้เรื่อง ถ้ามีจุดไหนที่ทำให้คุณไม่พอใจ โปรดพูดออกมาเลยครับ”คุณชายโหมก้มหัว พูดขึ้นด้วยท่าทีถ่อมเนื้อถ่อมตัว

เขาไม่รู้ว่าในจดหมายท่านเอิร์ลบอกอะไรกับหลินอิ่งกันแน่

ถึงทำให้หลินอิ่งมีเจตนาฆ่าแบบนี้

แต่ว่า ท่านเอิร์ลเคยมอบหมายมาแล้วว่าหลังจากที่หลินอิ่งอ่านจดหมายเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง จะต้องทำตามเงื่อนไขของหลินอิ่งทั้งหมด

หลินอิ่งสายตาขยับเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

“หลิน ปู่ของฉันเขียนว่าอะไรเหรอ ถึงทำให้คุณไม่พอใจขนาดนี้?” แอนนาพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง”คุณอย่าทำสายตาโหดร้ายขนาดนี้สิคะ ตระ ตระกูลของพวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแน่นอนค่ะ”

พอเห็นหลินอิ่งไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่มีสีหน้าท่าทีอะไร

ในใจของแอนนาและคุณชายโหมก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที รู้สึกถึงความตึงเครียด

บรรยากาศเงียบสงบ กดดัน หดหู่ไปชั่วขณะ

หลินอิ่งมองไปยังคุณชายโหม ก่อนจะพูดขึ้นนิ่งๆ”ท่านเอิร์ลของตระกูลพวกนาย อยู่ไหน?”

คุณชายโหมอึ้งตะลึงไป ก่อนจะพูดขึ้น”คุณหลิน ท่านเอิร์ลอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลที่ประเทศM คุณหมายความว่าไงครับ?”

“กลับไปบอกท่านเอิร์ลของพวกนายซะ ถ้าอยากจะเจรจาหารือ ก็ให้เขามาหาฉันที่ประเทศหลุงด้วยตัวเอง”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“คำพูดในจดหมาย ฉันถือว่าไม่เห็นก็แล้วกัน แต่ ฉันหวังว่าเขาจะไม่มาสอบถามลองเชิงฉันอีก”

ภายในน้ำเสียงที่นิ่งเฉยของหลินอิ่ง แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าที่แสนเยือกเย็นเอาไว้

คุณชายโหมพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะพูดขึ้น”คุณหลิน ผมจะกลับไปบอกกับท่านเอิร์ลให้ครับ”

เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินอิ่งแล้ว

หลินอิ่งรู้สึกว่าตระกูลโครเมียร์ไม่มีความจริงใจ เขาคนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถเจรจาหารือกันได้

อย่างน้อยต้องให้ท่านเอิร์ลมาที่ประเทศหลุงด้วยตัวเอง ถึงจะสามารถเจรจาหารือเรื่องใหญ่ได้

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น แล้วพูดเล่นใหญ่กำเริบเสิบสาน กล้าให้ท่านเอิร์ลผู้ที่ทรงพลังของโลกมืดทางตะวันตกอุตส่าห์ลดตัวลงมาหาเขาถึงที่เองขนาดนี้ เกรงว่าป่านนี้คงจะยั่วยุให้คุณชายโหมลงมือจัดการไปตั้งนานแล้ว

แต่ พอเผชิญกับหลินอิ่งบุคคลลึกลับระดับนี้

คุณชายโหมไม่กล้าไม่พอใจเลยแม้แต่นิดเดียว

หยุดไปสักพัก คุณชายโหมก็พูดเปลี่ยนเรื่อง “คุณหลินที่เคารพ เรื่องของการร่วมมือกันของกลุ่มทางการเงินต่างประเทศในตี้จิง ผมจะจัดการแทนคุณเอง คุณได้โปรดอย่าเข้าใจผิด นี่เป็นแค่เรื่องที่พวกเราตระกูลโครเมียร์ทำเพื่อเพื่อนที่น่าเคารพนับถือแบบคุณเท่านั้นครับ คุณไม่จำเป็นต้องตอบแทนอะไรกลับมาเลย”

“ใช่แล้วค่ะ หลิน พวกเราไม่ได้เจอกันนาน ที่มาตี้จิงในครั้งนี้ ก็อยากที่จะมาช่วยคุณจัดการปัญหาพวกนี้”แอนนาพูดขึ้นด้วยเจตนาที่ดี

หลินอิ่งพูดขึ้นนิ่งๆ”พวกคุณอยากจะทำอะไร มันก็เรื่องของพวกคุณ”

“แต่ว่า ผมขอเตือนพวกคุณหนึ่งข้อ อยู่ในตี้จิง จะต้องปฏิบัติตามกฎของผม”

“ทราบครับ!คุณหลิน ตี้จิงเป็นถิ่นของคุณ พวกเราไม่มีทางเลยขอบเขตแน่นอน”คุณชายโหมน้ำเสียงถ่อมตัว รีบพูดตอบรับทันที

“ถ้าอย่างนั้น หลิน ฉันอยากจะเชิญคุณ……”แอนนาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ

“เอาล่ะ หมดเวลาพูดคุยกันแล้ว พวกคุณกลับไปเถอะ”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ตัดบทพูดของแอนนา

แอนนาเม้มปาก รู้สึกไม่เต็มใจ ยังอยากที่จะพูดอะไรออกมา คุณชายโหมดึงรั้งแขนเสื้อของเธอ

“ครับ คุณหลิน คุณไปจัดการธุระของคุณเถอะ พวกเราไม่รบกวนแล้วครับ”

คุณชายโหมโค้งเอวคำนับเล็กน้อย จากนั้นก็ออกไปจากห้องรับแขกพร้อมกับแอนนา เดินออกมาจากวิลล่า

หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว แววตาของหลินอิ่งก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นนิ่งลึก ยกแก้วชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา จิบไปหนึ่งคำ

จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของตระกูลโครเมียร์ เขานั้นรู้ดี

เห็นได้ชัดว่ามาสำรวจลองเชิงสถานภาพและท่าทีของตัวเอง

ท่านเอิร์ลคนนั้น ไม่ธรรมดา

เรื่องอื่นๆ หลินอิ่งไม่อยากเข้าไปยุ่งเยอะ แค่ตระกูลโครเมียร์ไม่เล่นแง่เล่นกลทำอะไรผิดแปลกในตี้จิงก็พอ

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่แอนนากับคุณชายโหมออกจากวิลล่าแล้ว มาถึงยังห้องรับแขกของวิลล่าหลังที่อยู่ข้างๆ ควินสันนั่งสูบซิการ์อยู่บนโซฟาด้วยความกระวนกระวายอยู่ไม่สุข

“คุณชายโหม ทำไมนายถึงไม่ให้ฉันพูดเรื่องนั้นออกไปให้ชัดเจนล่ะ?”แอนนาพูดถามขึ้นด้วยความสับสนมึนงงไม่น้อย

“ปู่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้ฉันไล่ตามตื้อคุณหลินอย่างใจกล้าได้เลย ถ้าได้ใจได้ความรักความชอบจากเขาก็ยิ่งดีใหญ่ บอกว่าเขามีคุณสมบัติที่สามารถแต่งงานเข้ามาในตระกูลได้”แอนนาพูดขึ้นด้วยสีหน้าสับสน”แถมพ่อของฉันก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทำไมนายถึงขัดขวางฉันไม่ให้ฉันพูดออกไป?”

คุณชายโหมนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้น”คุณแอนนา เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ครับ ความคิดที่มีต่อเรื่องความรักของชายหญิงของคนประเทศหลุง ไม่เหมือนกับทางตะวันตกแบบพวกเรา”

“แถม วันนี้ หลินอิ่งก็เริ่มมีเจตนาฆ่าแล้วด้วย ช่วงเวลาแบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยเรื่องนี้ จะไปยุแหย่ให้เขาโมโหอีกไม่ได้”คุณชายโหมพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง”จากข้อมูลที่ผมตรวจสอบมา ข้างกายของหลินอิ่งมีผู้หญิงดีๆมากมายมาไม่ขาดสายเลย ดูเหมือนว่าเขาจะมีภรรยาที่หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้วหนึ่งคน แต่อยู่ข้างนอกก็ยังคงมีผู้หญิงอยู่ไม่น้อย คุณแอนนา คนที่ดีเลิศแบบคุณ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เขามาเป็นของตัวเอง”

“แต่ หลินอิ่งมีความระแวงอย่างมากต่อตระกูลโครเมียร์ของพวกเรามาโดยตลอด”

“ในเวลานี้ถ้าเข้าไปล่วงเกินเส้นความระแวงที่อยู่ในใจของเขาอีกล่ะก็ ก็มีแต่จะทำให้เขายิ่งไม่ชอบคุณแอนนามากขึ้นนะครับ แบบนั้นก็จะยิ่งไม่มีโอกาสอีกเลย”พูดจบ คุณชายโหมก็หันมองแอนนาอย่างรอบคอบ

“นี่มัน……”แอนนาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ยื่นมือขึ้นมาจับที่คาง ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“ฉันรู้แล้วคุณชายโหมฉันจะรับฟังความเห็นของนาย”แอนนาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

คุณชายโหมอยู่ภายในตระกูลโครเมียร์ เป็นนักวางกลยุทธ์ที่มีไหวพริบปฏิภาณ ช่ำชองมีประสบการณ์ ฉลาดเกินคน

แถมยังเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งความมืดที่มีความสามารถในการอ่านใจคนด้วย

ดังนั้น ในใจของแอนนาจึงเชื่อการวิเคราะห์ของชายชราผู้ชาญฉลาดคนนี้

“ในจดหมายของท่านเอิร์ล ก็ไม่รู้เขียนว่าอะไร ถึงทำให้หลินอิ่งไม่พอใจ ถึงขนาดที่มีเจตนาฆ่าขนาดนั้น”คุณชายโหมพูดพึมพำกับตัวเองออกมา”ผมต้องโทรไปรายงานสถานการณ์กับท่านเอิร์ล”

“คุณชายโหมนายระแวงเกินไปหรือเปล่า ทำไมพวกเราต้องมองหลินอิ่งคนประเทศหลุงว่ามีตำแหน่งสูงขนาดนั้นด้วย?”ควินสันคาบซิการ์ในปาก พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“ดูเหมือนหลินอิ่งนี่จะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาของประเทศหลุงก็จริง แต่ในระดับนานาชาติ แทบไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไรเลยด้วยซ้ำ”ควินสันพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“หรือว่าพี่แอนนาไม่คู่ควรกับเขา? แถมยังกลัวว่าเขาจะไม่พอใจอีก?”

พอเขาได้ฟังที่คุณชายโหมพูด ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์

แค่คนประเทศหลุงแบบหลินอิ่งคนเดียว ก็เคารพนับถือกันสุดๆ ลดตัวเองให้ต่ำลงขนาดนี้เชียว?

ว่ากันตามหลักแล้ว แค่ตระกูลโครเมียร์เลือกคนประเทศหลุงมาหนึ่งคน แล้วยอมยกคุณหนูแอนนาให้แต่งงานกับเขา เรียกว่าเป็นบุญวาสนาอันใหญ่หลวงของเขาสิถึงจะถูก!

ควินสันยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของหลินอิ่งอย่างมาก ทำให้เขาต้องสูญเสียคนมากมายขนาดนี้ เพื่อเตรียมไปต้อนรับหลินอิ่งที่ห้องโถงด้วย ถึงขนาดที่แม้แต่คนรับใช้ก็ต้องส่งไปปรนนิบัติรับใช้หลินอิ่งเหมือนกัน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท