ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 603 ระยะวัฏจักร

บทที่ 603 ระยะวัฏจักร

“ผม ผมคือเหอซานจิน เป็นคนจากหุบเฉินเฟิง” เหอซานจินพูดด้วยเสียงที่หืดหอบ “หลินอิ่ง!คุณ คุณคือตัวอะไรกันแน่?”

เหอซานจินเป็นยอดฝีมือระดับสูงที่ คุณท่านสวีไปเชิญออกมาจากแวดวงลึกลับ ซึ่งมีลำดับอำนาจที่แข็งแกร่ง

ซึ่งในใต้หล้า โดยทั่วไปแล้วสามารถพึ่งอำนาจจากพลังการต่อสู้ในการได้มาอย่างหน้าด้านๆ

ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวเมื่อสักครู่นี้ เขายังคิดที่จะลอบโจมตีเย่เฮยอยู่เลย

แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ประสิทธิภาพทางด้านการต่อสู้ของหลินอิ่งจะน่าเกรงขามขนาดนี้ ในช่วงระยะประชิด เพียงการระเบิดของความโกรธก็แทบจะสามารถทำลายปอดและเส้นเลือดของเขาให้แตกได้ ……

“หุบเฉินเฟิง?” หลินอิ่งพึมพำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

อำนาจของแวดวงลึกลับนี้ เขาเคยได้ยินมาบ้าง ที่นี่มีสมาชิกไม่มากนัก แต่ว่าแต่ละคนกลับเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น และยิ่งมีชื่อเสียงในด้านการวิชาแข็งกระด้างโดยเฉพาะ ไม่แปลกเลยที่เขาจะสามารถใช้เพียงความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิด ในการตั้งรับกับหมัดแห่งความโกรธของตัวเขาและไม่ตาย

“กับแค่พวกกระจอกอย่างพวกคุณ?ยังกล้าคิดจะมาลอบฆ่าผมงั้นหรอ?” หลินอิ่งตวาดสายตาเย้ยหยันไปยังพวกมุซาชิ จูโตะทั้งสามคน โดยมีแววพิฆาตที่พุ่งออกมาจากสายตานั้นอย่างรุนแรง

“โอหัง!”

มุซาชิ จูโตะกระโดดฟาดราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนพร้อมกับอาวุธลับที่พุ่งออกมาจากแขนเสื้อราวกับฝนท้อที่ปกคลุมไปด้วยสิ่งสังหาร

บูม!

หลินอิ่งตวาดฝ่ามือใหญ่ของตัวเองออกไป ลมแรงอันน่าสะพรึงกลัวสั่นสะท้านออกมา จนทำให้อาวุธลับโลหะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศถูกบดขยี้กลายเป็นผุยผง แล้วร่วงหล่นไปกับพื้น

ทว่าเพียงชั่ววินาที ประกายแหลมคมของมีดสองคมก็พุ่งเข้ามา

มุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีคนนั้นประชิดตัวเข้ามาใกล้แล้ว วิชาการเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

คนหนึ่งใช้ดาบ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้กระบี่ที่ประกายคมสีเงินออกมา

ติ๊ง!ตั๊ง!

หลินอิ่งกางแขนออกมาราวกับเหยี่ยว พร้อมกับคว้ามีดเบญจมาศที่อยู่ในมือของมุซาชิ จูโตะ ก่อนจะคว้าดาบอ่อนที่ท้วงแทงมาของคนเกาหลี

จากนั้นเขาก็ส่งพลังทะลุผ่านดาบและมีดนั้นเพื่อให้กำลังภายในควบคุมพวกเขาเอาไว้

ทั้งมุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีต่างร่างกายแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผากไปหมด รวมทั้งกระดูกยังมีเสียงดัง “กร๊อบ” ออกมา ราวกับว่ากำลังแบกรับแรงกดของเขาไท่ซานเสียอย่างนั้น

ดาบอ่อนและมีดเบญจมาศเกิดเสียง” หึ่งๆ ” สั่นสะเทือน

เพียงชั่วพริบตา!

แววตาของหลินอิ่งเย็นชา แขนทั้งสองขยับออกพร้อมกับเกิดเสียง” ปัง” ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ

เสียง “ซิ่ว” ลอยผ่านไป

เมื่อเห็นว่ามุซาชิ จูโตะทั้งสองบินหนีไปด้วยความผวา ทว่าเมื่ออยู่กลางอากาศทั้งสองกลับตีหลังกาม้วนตัวกลับมาพร้อมกับประกายปลายคมมีดทะยานมากลางหัวของเขา

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่กำลังบีบนิ้วเพื่อรับใบมีดเอาไว้อย่างเร่งรีบ จู่ๆ ด้านหลังเขาก็มีลมเย็นพัดโชยมา

คนเกาหลีได้โผล่เข้ามาด้านหลังอย่างลึกลับ ก่อนที่จะดาบอ่อนจะแทงลงไปบริเวณกระดูกสันหลังโดยตรง

เมื่อฟังตามเสียง สีหน้าของหลินอิ่งยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย พลางเหยียดมือออกไปด้านหลังพร้อมกับเสียง “แคร็ก” ที่ดังขึ้น แล้วมือของเขาก็จับดาบนั้นเอาไว้ทันที

แต่ว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีการคำนวณพลังผิดไปสองลมปราณ คนเกาหลีจึงสะบัดข้อมือออกก่อนที่จะดาบอ่อนจะสะบัดไปมาราวกับงูพิษ ก่อนที่คมดาบตวาดลงบนข้อมือของหลินอิ่งอย่างรุนแรง

ฉั๊วะ!

แขนเสื้อเชิ้ตขาดออกทันที

สีหน้าของหลินอิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาบิดตัว มือทั้งสองที่สะบัดออกล้วนเป็นสองฝ่ามือของความโกรธเคือง

ปัง ปัง!

เสียงโครมครามดันขึ้นราวกับฟ้าร้อง

ทั้งสามคนผสานฝ่ามือสองหันเข้าหากัน กำลังภายในของพวกเขารวมกัน ลมแรงพัดผ่านอุโมงค์ทั้งหมด ความแตกร้าวจากผนังซีเมนต์กลายเป็นเศษกรวดก็ลอยขึ้นราวกับว่ามันกำลังจะถล่มลงมา

หลังจากที่ต้านรับฝ่ามือนั้น มุซาชิ จูโตะและคนเกาหลีถูกกระแทกจนถอยหลังไปไกลหลายสิบเมตร ก่อนที่ทั้งสองจะชนเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง จากนั้นจึงหันหลังเพื่อบรรเทาอาการของตัวเอง

ส่วนหลินอิ่ง ร่างของเขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวเหมือนกัน ทว่าจังหวะการหายใจกลับไม่ได้มั่นคงเหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว……

“ฮือ?กำลังช่วงหลังของหลินอิ่งดูเหมือนจะน้อยลงแล้ว?” แววตาของมุซาชิ จูโตะเป็นประกาย สีหน้ามีความสุขขึ้นมา ก่อนจะเหลียวหันไปมองคนเกาหลี

ภายในแววตาของคนเกาหลีประกายแสงบ้าระห่ำออกมา พลางพยักหน้ารับ

พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่า จากการปะทะด้วยพลังภายในเมื่อสักครู่นี้ หลินอิ่งไม่ได้มีความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว ………

และก็ไม่ได้มีพลังที่เหนือกว่าอีกด้วย

และนี่ก็คือโอกาสที่จะให้พวกเขาฆ่าหลินอิ่งทิ้งซะ

“นี่มัน……”

หลินอิ่งสายตานิ่งลึก พลางพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองดูบาดแผลลึกแต่ละบาดแผลที่ถูกดาบอ่อนฟันเอาไว้บนข้อมือของตัวเอง

หากอยู่ในช่วง ช่วงรุงเรืองที่สุด ดาบเล่มนั้นของคนเกาหลี ไม่มีทางที่จะทิ้งแผลเป็นไว้บนตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อยแน่นอน ……

และต่อให้มุซาชิ จูโตะพวกเขาสองคนจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาถอยหลังได้เลยแม้แต่สักก้า ……

“ฟู่!”

หลินอิ่งพ่นลมหายใจอันขุ่นเคืองออกมายาวๆ แววตาดูเคร่งขรึมขึ้นมา

เขารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตัวเอง

นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่ร่างกายของเขาเข้าสู่ช่วงอ่อนแอหลังจากที่เขาลงจากเขามา

พลังเทพที่หลินอิ่งได้ฝึกฝนนั้นเป็นตำนานอันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งมังกร

สิ่งนี้ราวกับเป็นเคล็ดลับพลังเทพขั้นสูงสุดที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบในแวดวงลึกลับ ทว่ามันกลับมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือในแต่ละขั้นจะมีช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ แบบเดียวกับเทวดาที่มีห้าลางสิ้นอายุขัย

และนี่ก็คือสาเหตุที่ตอนนั้นทั้งที่หลินอิ่งในวัยเยาว์มีพลังสามารถทำลายโลกที่ซ่อนเร้น แต่อาจารย์ของเขากลับให้เขาอยู่เฉยๆ ในแก๊งมังกร พร้อมกับสั่งให้เขาซ่อนตัวจำศีล

หลินอิ่งช่วงตอนแรกๆ ในหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน โดยมีหนึ่งร้อยแปดสิบกว่าวันที่อยู่ในระยะวัฏจักร ซึ่งไร้หนทางใช้พลัง

จนกระทั่งเขาได้บรรลุขั้นที่สูงขึ้น และหลังจากออกมาจากเขา ระยะวัฏจักรถึงค่อยๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่าง ระยะวัฏจักรประสิทธิภาพในการต่อสู้ยังมั่นคงไม่น้อย ไม่ได้ไร้หนทางใช้พลังได้เหมือนเมื่อก่อนอีก

แต่ถึงอย่างนั้นหลินอิ่งยังไม่บรรลุขั้นสูงสุด ดังนั้นการฝึกฝนพลังเทพ จึงยังมีระยะวัฏจักรเกิดขึ้น ทั้งยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

วันนี้ จึงเข้าสู่ช่วงระยะวัฏจักรแล้ว……

“คนประเทศหลุงอย่างคุณดูแล้วก็แค่กำลังวางมาดตบตาคนอื่นไปแค่นั้น” คนเกาหลีหัวเราะเยาะออกมาสองเสียง “ตอนแรกก็คิดว่าการที่สามารถโจมตีเหอซานจินจนบาดเจ็บหนักเพียงครั้งเดียว ก็คงจะมีความสามารถที่สะท้านฟ้าอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น”

“เหอะๆ ๆ ……หลินอิ่ง ถ้าคุณมีความสามารถแค่นี้ล่ะก็ อย่างนั้นชีวิตของคุณก็คงต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้ว” มุซาชิ จูโตะเองก็กระตุกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

สีหน้าของมุซาชิ จูโตะเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ จากการวิเคราะห์ของเขาแล้ว ฝ่ามืออันแสนสะพรึงนั้นของหลินอิ่งก็เป็นเพียงแค่ใช้มาสำหรับขู่ขวัญคนอื่นเท่านั้น ซึ่งก็คือการใช้กำลังเกือบทั้งหมดในการทำร้ายเหอซานจินให้บาดเจ็บสาหัส

แล้วหลังจากนี้ พลังของหลินอิ่งจะยังมีอีกเท่าไหร่กันนะ?

หากพึ่งพลังภายในที่พลุ่งพล่านอย่างต่อเนื่องและลุ่มลึกของเขา ร่วมมือกับหัวหน้ายามของกลุ่มบริษัทตระกูลเผียวในการต่อสู้ ยังไงก็ต้องบดขยี้หลินอิ่งให้ตายที่นี่!

“คุณก็เอาชีวิตมาแลกกับชีวิตของศิษย์น้องแล้วกัน!”

มุซาชิ จูโตะหัวเราะเยาะอย่างดุดาลออกมา ก่อนที่ร่างจะกระโจนเข้าไปภายในชั่วพริบตาพร้อมสะบัดมีดหวังฆ่าหลินอิ่ง

คนเกาหลีคนนั้นเองก็รีบตามหลังไปอย่างรวดเร็ว ดาบอ่อนในมือของเขาพลิ้วไหวราวละอองฝนที่กระจายไปทั่วที่แฝงด้วยความต้องการฆ่า

ทั้งสองวางแผนจะพยายามโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หวังให้หลินอิ่งได้พักหายใจ และลากเขาไปสู่ความตายเสีย

……

และในเวลาเดียวกัน

เมืองเทียนหลง อาคารเทียนหลง

ด้านล่างตึกบริเวณลานของเทียน มีการล้อมเทปเตือนเอาไว้เป็นระยะทางยาว

ตามริมถนนที่ทอดยาวที่อยู่ในบริเวณใกล้เขียงเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน

จะมีก็เพียงแต่ในลานของงานที่มีรถหรูระดับโลกรุ่นอันลิมิเต็ดเอดิชั่นที่อยู่จอดอยู่ พร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดสวมชุดสูทเยอะเรียงแถวกัน

เป็นภาพสถานการณ์ที่ดูยิ่งใหญ่มาก

ชายวัยกลางผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมาก ต่างเดินเข้าไปด้านในอาคารเทียนหลงอย่างต่อเนื่องด้วยความเป็นระเบียบอย่างมาก

อาคารเทียนหลง ภายในห้องโถงนิทรรศการใหญ่มีทั้งหมดแปดสิบแปดชั้น โดยถูกจัดเอาไว้ในรูปทรงโค้ง ซึ่งได้มีการจัดเรียงเก้าอี้ที่มีชื่อสกุลของแขกทุกคนติดเอาไว้อย่างเรียบร้อย

บริเวณที่นั่งของผู้เข้าร่วม ตอนนี้ได้มีคนเข้ามานั่งจนเต็มแล้ว

ทุกคนล้วนเป็นผู้มีเกียรติ บางคนเป็นตัวแทนจากตระกูลเล็กๆ ของตี้จิง บางคนเป็นผู้บริหารระดับสูงผู้ทรงอำนาจของตี้จิง บ้างก็เป็นประธานกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท