ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 599 กลยุทธ์ชั่วร้าย

บทที่ 599 กลยุทธ์ชั่วร้าย

หนึ่งวันผ่านไป

เครื่องบินเที่ยวบินระหว่างประเทศหนึ่งลำ มาลงจอด ณ สนามบินตี้จิง

คนต้าเหอแต่งตัวเรียบง่ายคนหนึ่ง ถือกระเป๋าเดินทางสีเงินลงมาจากเครื่องบิน

……

ช่วงเวลากลางดึก

ณ ห้องทำงานของประธานของบริษัทซื่อไท่ในเขตเมืองเก่า

“เห้ย!”

เสียงร้องตกใจดังก้องไปทั่ว

“พวก พวกแกเป็นใคร?”

ในห้องทำงาน ซื่อไท่กับถูซานสีหน้าตกใจกลัว มองพวกกลุ่มคนสีดำที่กำลังเดินตรงเข้ามา

ส่วนข้างนอกห้องทำงาน ก็มีบอดี้การ์ดสวมชุดสูทรูปร่างกำยำ นอนระเนระนาดอยู่ที่พื้น

บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

“พวกแกกล้ามาก่อเรื่องที่นี่เชียวเหรอ? รู้ไหมว่าพวกเราเป็นคนของใคร?”ถูซานพูดขึ้นด้วยความโกรธ

ถูซานกับซื่อไท่ กำลังมาส่งงานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทพอดี

ในขณะที่กำลังเตรียมงาน เตรียมพวกเอกสารสำคัญทางธุรกิจที่หลินอิ่งจะไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเทียนหลงในวันพรุ่งนี้

ผลที่ได้ จู่ๆกลับถูกคนแอบหลบกล้องวงจรปิด เข้ามาในห้องทำงานอย่างเงียบๆ ถึงขนาดที่ล้มพวกยอดฝีมือที่เฝ้าประตูอยู่ได้จนหมด

“รู้อยู่แล้วแน่นอน พวกแกสองคนเป็นคนที่ทำงานให้กับหลินอิ่ง”

มีเสียงหัวเราะที่ร้ายกาจดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เห็นรถเข็นคันหนึ่งเข็นเข้ามา

สวีไป๋เห้อกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นด้วยสีหน้ามืดมน มองถูซานกับซื่อไท่อย่างเย้ยหยันขี้เล่น

“สวีไป๋เห้อ?”ซื่อไท่สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“แกคิดจะทำอะไร? ใช้วิธีการนี้มันจะได้ผลอะไร? ตระกูลสวีของพวกแกมันจบลงแล้ว ยังทำอะไรได้อีก?”ซื่อไท่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว

“เหอะๆๆ จบลงแล้ว?”สวีไป๋เห้อส่ายหัว พูดยิ้มๆอย่างพออกพอใจ”แกคิดจริงๆเหรอว่าคุณชายอิ่งของพวกแกชนะแล้ว?”

“ท่านมุซาชิ สองคนนี้ก็คือลูกน้องชั้นยอดที่ทำงานให้กับหลินอิ่ง พวกเราน่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการมาจากพวกมันได้ครับ”

พูดพลาง สวีไป๋เห้อก็มองไปยังเงามืด พูดขึ้นด้วยความเคารพ

มีผู้ชายต้าเหอรูปร่างสูงใหญ่มีดาบเบญจมาศคาดที่เอวคนหนึ่งค่อยๆเดินออกมาจากเงามืด

ข้างหลังของเขายังมีเหล่านักดาบต้าเหอที่ใส่หน้ากากหัวผีที่น่าดูดุร้ายน่าสะพรึงกลัวตามมาด้วย

“นี่มัน!”

หลังจากที่เห็นกลุ่มคนพวกนี้แล้ว ซื่อไท่กับถูซานสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

พวกเขาทั้งสองคนรู้ว่าเบื้องหลังของตระกูลสวีมีพวกคนต้าเหอคอยสนับสนุนอยู่ ตอนที่ไปช่วยถังฮุยกับลูกพี่ที่เขตหัวหยางก่อนหน้านี้ ก็มีการสู้รบกันด้วย

แต่ เท่าที่ฟังจากที่ลูกพี่พูดมา คนต้าเหอถูกท่านอิ่งจัดการไปเรียบร้อยหมดแล้วแล้วไม่ใช่เหรอ

หรือว่ายังมีคนที่เล็ดลอดออกไปได้

“คนของประเทศหลุง แกกำลังตกใจอะไรอยู่?”มุซาชิ จูโตะ มองซื่อไท่ด้วยสายตาเยือกเย็น พูดภาษาประเทศหลุงด้วยสำเนียงแปลกๆ

ซื่อไท่กับถูซานไม่ได้พูดอะไร

ฉึก!

จู่ๆมุซาชิ จูโตะก็ชักดาบออกมาจากฝัก ฟันไปที่ร่างกายของพวกเขาทั้งสองคน เลือดสดๆไหลหยดออกมาทันที

“หลินอิ่งไอ้คนประเทศหลุงที่ฆ่าศิษย์น้องของฉัน ก็คือลูกพี่ของพวกแก?”มุซาชิ จูโตะพูดขึ้นด้วยสีหน้าดำมืด

“อย่าบังคับให้ฉันต้องใช้วิธีการที่โหดร้ายเลย บอกมาซะ ว่าเส้นทางที่หลินอิ่งจะไปการประชุมสุดยอดเทียนหลงในวันพรุ่งนี้ คือเส้นทางไหน?”มุซาชิ จูโตะพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ถูซานกับซื่อไท่กัดฟันกรอดๆ ทั้งสองคนต่างมีรอยดาบฟันที่น่าสะพรึงกลัว

พวกเขารู้ชัดแล้วว่า ที่คนต้าเหอคนนี้ คิดที่จะมาทรมานบีบเค้นข้อมูล ก็เพื่อที่จะแอบซุ่มโจมตีนายอิ่ง

“หือ? ไม่ยอมเปิดปากบอกอย่างนั้นเหรอ?”มุซาชิ จูโตะยิ้มอย่างเย้ยหยัน”ลากตัวพวกมันสองคนไป แงะปากให้เปิดออก”

“ตรวจสอบเอกสารข้อมูลที่นี่ให้หมด”

มุซาชิ จูโตะโบกมือ พูดสั่งลูกน้องให้ปฏิบัติตาม

โครมๆ พวกคนต้าเหอที่โหดเหี้ยมก็ลงมือทันที ไม่นานก็ซัดซื่อไท่กับถูซานให้ล้มลง แล้วลากทั้งสองคนไปทรมานที่ห้องข้างๆ

ที่เหลืออีกสิบกว่าคน ก็ค้นหาเอกสารในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ทำลายตู้เซฟไปหลายตู้

“คุณมุซาชิครับ ผมมีข้อแนะนำครับ ไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงบ้าง?”สวีไป๋เห้อใบหน้าประจบสอพลอ เปิดปากพูดขึ้น

มุซาชิ จูโตะนั่งลงบนเก้าอี้เถ้าแก่ มองไปยังสวีไป๋เห้ออย่างนิ่งๆ

“คนโง่แบบแกมีคำแนะนำอะไร?”มุซาชิ จูโตะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ขนาดผู้แข็งแกร่งแบบศิษย์น้องของฉันก็ยังฉุดตระกูลสวีของพวกแกไม่ขึ้นเลย แกยังมีหน้ามาพูดแนะนำฉันอีกเหรอ?”

“ฉันจะบอกแกให้นะ หลังจากที่ฆ่าหลินอิ่งแก้แค้นให้กับศิษย์น้องของฉันแล้ว ฉันจะคิดบัญชีกับพวกแกตระกูลสวีให้อย่างงามเลย!”

“แน่นอนว่า ชีซิงกรุ๊ปด้วย!ประธานเผียวของพวกแก ยังหลบฉันอยู่?”

พูดพลาง มุซาชิ จูโตะก็ชำเลืองตามองอย่างเยือกเย็น ทำให้ผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดสูท ห้อยป้ายชีซิงเอาไว้คนหนึ่ง สั่นกระส่ายไปทั้งตัว

“คุณมุซาชิ คุณกรุณาใจเย็นลงก่อนนะครับ ผมจะกลับไปบอกท่านประธานให้คุณเองครับ”ชายวัยกลางคนพูดพลางเหงื่อไหลอาบเต็มหน้า

สวีไป๋เห้อใบหน้าฝืนยิ้ม เช็ดเหงื่อ

“คุณมุซาชิครับ ใจเย็นนะครับ พวกเราตระกูลสวีจะต้องทำให้คุณพอใจแน่นอนครับ ส่วนเรื่องในตอนนี้ พวกเราไปแก้แค้นหลินอิ่งกันดีกว่าครับ”

มุซาชิ จูโตะที่เพิ่งจะมาถึงตี้จิงในวันนี้ เป็นคนโหดเหี้ยมเลือดเย็น

ไม่เหมือนกับคุณกงจิ่วก่อนหน้านี้ที่พูดคุยง่ายมากๆ

มุซาชิ จูโตะพอมาถึงตระกูลสวีก็บีบเค้นถามสถานการณ์ ฆ่าแม้กระทั่งทหารลับของตระกูลสวีที่ขวางทางไปตั้งหลายคนอีกด้วย

แถมยังฆ่าแบบเด็ดขาด ลงมือทันที จะลงมือกับหลินอิ่งให้ได้ในตอนนั้นเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหลินอิ่งอยู่ที่เขาฉางชิง เรียกเหล่าบรรดาสมาชิกหลักที่อยู่รอบตัวไปรวมตัวล่ะก็

มุซาชิ จูโตะ ก็คงจะไม่ใช่แค่จับตัวถูซานกับถังฮุยง่ายๆแค่นี้แน่นอน

“คุณมุซาชิครับ การประชุมสุดยอดเทียนหลงที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ หลินอิ่งจะต้องไปเข้าร่วมแน่นอน”สวีไป๋เห้อพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง”การที่คุณวางแผนที่จะซุ่มโจมตีและฆ่าเขาระหว่างทางที่หลินอิ่งเดินทางไป นี่เป็นแผนการที่ชาญฉลาดมาก”

“คำแนะนำที่ผมอยากจะบอกก็คือ อยากให้คุณลอบสังหารคนรอบตัวของหลินอิ่งไปด้วยเลย”

“อ้อ?”มุซาชิ จูโตะดูเหมือนว่าจะรู้สึกสนใจขึ้นมา มองไปยังสวีไป๋เห้อ”คนรอบตัวของหลินอิ่ง? แกรู้เหรอว่าเขาใส่ใจเป็นห่วงคนพวกนั้น? แล้วมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำอย่างนั้นเหรอ?”

“ปู่ของหลินอิ่ง อยู่ที่จื่อหลงซาน นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามทางทหารของประเทศหลุง ไปจัดการเขาไม่ได้”มุซาชิ จูโตะค่อยๆพูดขึ้น”หลินอิ่งไม่มีญาติคนอื่น ยังมีคนที่ให้มันต้องเป็นห่วงอยู่อีกเหรอ?”

สวีไป๋เห้อพูดขึ้น”คุณมุซาชิ ผมรู้จักคนคนหนึ่ง คนนั้นเป็นผู้หญิงที่ชื่อฉู่ฉู่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน คิดว่าคุณน่าจะเคยเห็นคุณกงจิ่วทำการลอบสังหารผู้หญิงคนนี้เมื่อก่อนหน้านี้นะครับ”

“ผมไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้ว ว่าผู้หญิงของตระกูลฉู่คนนี้ อยู่ที่สถานที่พักพิงของตี้จิงครับ”สวีไป๋เห้อพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”ฉู่ฉู่คนนี้ปกติแล้วจะไปที่อพาร์ตเมนต์แถวๆจื่อหลงซานกับลูกสาวของตระกูลกงซุน ที่นั่นมีทหารลับของตระกูลกงซุนคอยเฝ้าอยู่ จำเป็นต้องขอยืมมือคุณครับ”

“อ้อ? ลูกสาวของตระกูลกงซุน? ตระกูลกงซุนที่เป็นห้าตระกูลยักษ์ใหญ่ของตี้จิง?”มุซาชิ จูโตะพูดถามขึ้น

“ใช่ครับ”สวีไป๋เห้อพยักหน้า ท่าทางแบบคนทรยศ พูดขึ้นต่อ”ขอแค่ฆ่าผู้หญิงสองคนนี้ เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ตระกูลกงซุนและตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ก็จะไปคิดบัญชีกับหลินอิ่งแน่นอน!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท