ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 602 ระเบิดเพียงสัมผัส

บทที่ 602 ระเบิดเพียงสัมผัส

“นี่คือ?คนต้าเหอ?”

นิ่งซวนเปล่งเสียงประหลาดใจออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังเงาดำของคนที่กำลังเดินออกมาจากอุโมงค์ทางลอด

พวกเขามีทั้งหมดราวๆ สามสิบกว่าคน โดยทุกคนถือมีดเบญจมาศที่ส่องแสงประกายเย็นยะเยือกออกไว้ในมือด้วย

คนที่เดินนำหน้า รูปลักษณ์ของเหมือนกับคนต้าเหอทั่วไป สายตาดุร้าย ใบหน้าแข็งกระด้าง และมีบุคลิกที่ดูโหดเหี้ยมอำมหิต

“มาเร็วดีนี่”

รอยยิ้มเยาะเย้ยกระตุกขึ้นตรงมุมปากของหลินอิ่ง

เขาพอจะเดาออกแล้วว่าพวกเขาคือคนของสำนักยุทธ์เชียน

ในตอนนั้นที่ฆ่ากงจิ่วไป ก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าทางสำนักยุทธ์เชียนไม่มีทางยอมวางมือแน่นอน ทว่าแค่คิดไม่ถึงว่าคนที่นั่นจะมากันเร็วขาดนี้

นี่ทำให้เห็นชัดเลยว่าพวกเขาได้มีการเตรียมการเอาไว้ดีแล้ว ว่าจะมาซุ่มโจมตีระหว่างที่เขาต้องเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเทียนหลง

“คุณก็คือคนของสำนักยุทธ์เชียน?” หลินอิ่งจ้องมองมุซาชิ จูโตะอย่างเฉยเมย พร้อมกับพูดต่ออย่างเย็นชา “กงจิ่วตายในมือของผม คุณคงคิดจะมาแก้แค้นให้เขางั้นสินะ?”

“เหอะๆ ๆ ……” มุซาชิ จูโตะมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่โกรธเคือง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม “ในตอนที่คุณฆ่าศิษย์น้องของผม คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า สำนักยุทธ์เชียนไม่มีทางปล่อยคนกระจอกอย่างคุณไปแน่”

หลินอิ่งไม่แสดงสีหน้าใดๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่โหดร้ายออกมา

“คนสำนักยุทธ์เชียนอย่างพวกคุณ ไม่นานก็ต้องพังพินาศ”

คนของประเทศต้าเหอ กล้าทำเรื่องยโสขนาดนี้ในตี้จิงเมืองหลวงของประเทศหลุงเลยงั้นหรอ?

ดูเหมือนว่าถ้าหากไม่กำจัดรากขององค์กรสำนักยุทธ์เชียนนี้ให้สิ้นซาก พวกมันก็จะยังทำตัวไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้สินะ

“ฮ่าๆ ๆ ๆ !” มุซาชิ จูโตะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าดูถูกเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้าของเขา “ให้สำนักยุทธ์เชียนพังพินาศงั้นหรอ?หลินอิ่ง คุณนี่ก็เป็นแค่กบในกะลาที่ไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละ”

“วันนี้คุณไร้หนทางหนีรอดไปได้แล้ว !ยังจะมาพูดพล่ามอยู่ได้อีก?”

หลินอิ่งส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา สายตากวาดมองไปยังอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ของมุซาชิ จูโตะ

ทางด้านซ้ายของมุซาชิ จูโตะ มีชายวัยกลางคนสวมชุดฝึกวิชาต่อสู้สีขาวยืนอยู่ สายตาแหลมคม มีบุคลิกที่เหมือนคนที่มากด้วยความสามารถประสบการณ์

ส่วนทางด้านขวาของเขา มีชายคนหนึ่งสวมชุดสูทที่เป็นทางการกำลังยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าและบุคลิกของเขามีสไตล์ที่เหมือนกับคนเกาหลีอย่างชัดเจน

เพียงแค่ชั่วพริบตาหลินอิ่งก็สามารถดูออกทันที

ทั้งสองคนนี้มีเทคนิคฝีมือที่ต่างกัน และไม่ใช่คนธรรมดา

“ท่านอิ่ง งานประชุมจะเริ่มขึ้นเที่ยงตรงนี้แล้วนะครับ ถูกพวกเขาขวางไว้แบบนี้ กลัวว่าจะไปไม่ทันกาล” หยูจื๋อเฉิงเดินเข้ามาจากด้านหลังพร้อมพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

การประชุมสุดยอดเทียนหลงจะเริ่มขึ้นอย่างตรงเวลา และไม่มีทางรอใครเด็ดขาด

ดูแล้วนี่คงจะเป็นเคล็ดลับการแก้ปัญหาที่ต้นตอของตระกูลสวี

การมาซุ่มโจมตีระหว่างทางแบบนี้ อย่างน้อยก็สามารถรั้งให้ท่านอิ่งไปร่วมงานไม่ทัน และเมื่อเป็นอย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านอิ่งได้วางแผนผังของเมืองเทียนหลงไว้ก่อนหน้านี้ก็จะมลายหายไปอย่างสูญเปล่า

สามารถบอกได้เลยว่า ตระกูลสวี เป็นจอมวางแผนจริงๆ

“หยูจื๋อเฉิง นิ่งซวน พวกนายรีบพาคนขับรถเลี่ยงถนนเดินทางไปที่งานประชุมเทียนหลงก่อน” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบ “ฉันจะตามไปทีหลัง”

“ท่านอิ่ง แล้วคุณล่ะครับ?คนพวกนี้ร้ายกาจมากเลยนะครับ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างกังวลใจ

“พวกนายอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “อย่าละเลยเรื่องของเมืองเทียนหลงเลยดีกว่า”

หยูจื๋อเฉิงกับนิ่งซวนหันไปสบตากันก่อนจะพยักหน้ารับอย่างคร่ำขรึม

“น้อมรับคำสั่งของครับ”

เมื่อพูดจบทั้งสองก็พากลุ่มยอดฝีมือชั้นสูงถอยออกไปอย่างรวดเร็ว โดยการเลี่ยงทางอุโมงค์ไปตามคำสั่งของหลินอิ่ง จากนั้นค่อยหารถเพื่อเดินทางไปยับยั้งสถานการณ์ในงานประชุม

“ยังคิดจะให้คนของคุณไปอีกงั้นหรอ? เฮอะๆ ”

มุซาชิ จูโตะหัวเราะเยาะออกมาสองเสียง พลางยกมือขึ้นส่งสัญญาณ

ทันใดนั้น เหล่าชายคนต้าเหอที่ถือปืนยาวยืนอยู่ในอุโมงค์ต่างก็ปืนขึ้นมากระหน่ำยิงทันที ปากกระบอกลุกไฟขึ้น ก่อนที่ลูกกระสูนจะพุ่งทะยานออกไป

ปัง ปัง ปัง!

ทั้งหยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวนต่างมีสีหน้าตกใจ หลบไปมาภายใต้การปกป้องของทหารลับยอดฝีมือ

ทางด้านคนที่อยู่กับหลินอิ่งก็หยิบปืนขึ้นมาเช่นกัน

เพียงชั่วครู่เดียวทั้งสองฝั่งก็ยิงปะทะกันโดยทันที

“เอื๊อก!”

หลังจากสวนยิงกันอย่างโกลาหลได้ไม่นาน เสียงครวญเจ็บปวดก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหลินอิ่งนั้นหายไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ ก่อนที่จะเห็นร่างของเขาวิ่งพุ่งเข้าไปในอุโมงค์

ร่างของเขาว่องไวราวกับมังกรที่แหวกว่ายปานสายฟ้า พร้อมกับยกมือขึ้นบีบคอกลุ่มคนต้าเหอที่ถือปืนไว้ทีละคนๆ ให้ล้มลงไปต่อหน้าของเขา

“หืม?”

ทันทีที่เห็น มุซาชิ จูโตะถึงกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ พลางรุกหน้าเข้าไปเพื่อฆ่าเขา

และในเวลาเดียวกันสองยอดฝีมือข้างกายเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวตามไปเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะล้อมหลินอิ่งเอาไว้

ตุ้ม!

มุซาชิ จูโตะตวาดมีดเล่มหนึ่งออกไป คมมีดที่แววประกายแสงแห่งความสยดสยอง บินฝ่าหินกรวดที่อยู่บนพื้นจนกระดอนกระเด็น พุ่งตรงไปตรงคอของหลินอิ่งโดยตรง ทว่าจู่ๆ เสียงกระทบของเหล็กก็ระเบิดขึ้นมา

สิ่งที่คาดไม่ถึงเลยก็คือมีดเบญจมาศเล่มนั้นที่มีอานุภาพแข็งแกร่งไร้ต้านทานกลับถูกหลินอิ่งทำลายลงด้วยมือเปล่าจนหักออกเป็นสองท่อนอยู่ตรงนั้น

บูม!

ในขณะที่ทั้งสามยังคงมึนงงอยู่นั้น หลินอิ่งก็สะบัดพลังหลังมือที่น่ากลัวราวกับพายุทะเลที่ซัดโครม พลังอันบ้าคลั่งนั้นทะลุทะลวงความว่างเปล่า ทำให้กลุ่มคนที่กำลังหวั่นผวาต่างแข็งทื่อ พลางกระเด็นออกไปจากตรงนั้น

“เอื๊อก!”

มุซาชิ จูโตะถูกสะบัดจนถอยหลังออกไปหลายสิบเมตร โดยใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนอีกสองคนต่างจ้องมองไปที่หลินอิ่งด้วยหวาดกลัว พลางการหายใจก็สูบฉีดเร็วขึ้น

การปะทะกันครั้งแรกก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะซะแล้ว

ต่อให้พวกเขาทั้งสามคนจะรวมพลังกันก็ยังไม่สามารถประมาทตัวหลินอิ่งได้เลยแม้แต่น้อย

พลังฝ่ามือของหลินอิ่งนั้นได้มาถึงขั้นที่ไม่สามารถคาดเดาได้ราวกับจุดลึกสุดของมหาสมุทรแล้ว

ซึ่งทำให้พวกเขาเกิดแรงกดดันภายในใจอย่างไม่รู้จบ

“ไม่น่าแปลกเลยที่ศิษย์น้องกงจิ่วของผมถึงได้ตายอย่างอนาถด้วยมือของคุณ ทั้งที่อายุยังน้อย แต่พลังกลับล้ำลึกได้ขนาดนี้” มุซาชิ จูโตะพูดด้วยเสียงทุ้ม แววตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

ซึ่งในเวลานั้นเอง ร่างของเย่เฮยก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหลินอิ่วราวกับสายลม

“ประธานหลิน ทางตระกูลกงซุนโทรเข้ามาแจ้งว่าที่พักของคุณฉู่ฉู่เกิดปัญหามีคนบุกเข้าไปครับ” เย่เฮยแจ้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ฮือ?” จิตสังหารในแววตาของหลินอิ่งชัดเจนมากขึ้น พร้อมเหลียวไปมองพวกมุซาชิ จูโตะ

ฉู่ฉู่กับกงซุนชิวอวี่อาศัยอยู่ด้วยกัน ที่นั่นถือเป็นเขตทรัพย์สินของตระกูลกงซุน ยิ่งกว่านั้นยังมีทหารลับของตระกูลกงซุนคอยดูแลอยู่ด้วย คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางกล้าเข้าไปวุ่นวายแน่

การเกิดเหตุการณ์รุนแรงในเวลาแบบนี้ สามารถเห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นแผนการร้ายกาจอีกอย่างหนึ่งที่สำนักยุทธ์เชียนได้คิดไว้อย่างรอบคอบแล้ว

“เย่เฮย นายรีบเดินทางไปจัดการทางด้านฉู่ฉู่ อย่าปล่อยให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเธอและกงซุนชิวอวี่เด็ดขาด” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “อย่าช้าแม้แต่วินาทีเดียว”

สีหน้าของเย่เฮยแสดงความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าที่แน่วแน่ของหลินอิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากนัก ก่อนที่จะหันหลังพร้อมจะจากไป

พรืบ!

และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ชายวัยกลางคนจากประเทศหลุงที่อยู่กับมุซาชิ จูโตะคนนั้นก็พุ่งทะยานเข้ามาเพื่อหวังที่จะขวางเย่เฮยที่กำลังจะหันหลัง

“รนหาที่ตายซะแล้ว!”

หลินอิ่งตะโกนอย่างโกรธจัด ร่างกายพุ่งระเบิดราวกับลูกศรธนู พร้อมหมัดที่ซัดลงบนตัวของชายวัยกลางคน แรงนั้นซัดเข้าไปจนทำให้เขาเป็นเหมือนกับลูกบอลรั่ว ก่อนที่จะกระเด็นออกไปหลายสิบเมตรแล้วล้มกระแทกลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง

“ตุ้บ!”

ชายวัยกลางคนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก และมองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“คุณในฐานะสมาชิกแวดวงลึกลับประเทศหลุง กลับกล้ามาคลุกคลีกับคนต้าเหอและคนเกาหลี งั้นหรอ?เพียงเพื่อจะช่วยคนพวกนี้ทำเรื่องทุจริตงั้นหรอ?” สายตาของหลินอิ่งเย็นเยือกพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชา

ซึ่งขณะนั้น มุซาชิ จูโตะและคนเกาหลี ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างหันมาสบตากันด้วยท่าทีที่จริงจัง

เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถทำให้ยอดฝีมือที่ตระกูลสวีอุตส่าห์ไปเชิญมาได้รับบาดเจ็บปางตาย………….

หลินอิ่งคนนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งและน่าเกรงขามมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท