ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 606 คุณมีสิทธิ์อะไรในการต่อรอง?

บทที่ 606 คุณมีสิทธิ์อะไรในการต่อรอง?

“เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว เชิญตัวแทนจากตระกูลใหญ่ทุกท่าน มายังโต๊ะเจรจาเถอะ” สวีจิ่วหลิง พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมกวาดสายตาข่มขู่ไปยังผู้คนที่อยู่ในงาน

“ข้อเสนอของประธานเผียว ทุกท่านก็น่าจะได้เห็นกันหมดแล้วนะครับ หากตามกระบวนการทั่วไปแล้ว ตัวแทนทุกท่านจะต้องลงมติ ส่วนคนที่ไม่มาก็ถือว่าสละสิทธิ์”

เมื่อพูดจบ กลุ่มคนหนึ่งในที่ประชุมที่คอยสนับสนุนตระกูลสวีต่างก็ลุกขึ้นยืน

“ผมจะสนับสนุนโครงการการร่วมมือบริษัทตระกูลสวีกับชีซิงกรุ๊ป อย่างเต็มที่”

“ผมเองก็สนับสนุนเช่นกันครับ ในตอนนี้มีเพียงแต่โครงการของคุณท่านสวีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะมีความคิดที่จะมอบผลประโยชน์ให้กับทุกคน ส่วนทางด้านคุณชายอิ่ง รู้ความจริงใจ แม้แต่เจ้าตัวยังไม่มาร่วมประชุมเลยด้วยซ้ำ”

“พวกเราทุกคนที่นี่ล้วนมีธุระยุ่งยากกันทั้งนั้น สำหรับหลินซื่อกรุ๊ปที่แม้แต่การประชุมสุดยอดเทียนหลงยังไม่มาเข้าร่วม แบบนี้จะหวังอะไรได้อีก?การกระทำแบบนี้ ทุกคนยังจะกล้าเดิมพันชะตาของตัวเองกับกลุ่มของพวกเขาอีกงั้นหรอครับ?”

กลุ่มคนจำนวนมากลุกขึ้นมาแสดงความเห็นว่าร้ายหลินอิ่งในรูปแบบต่างๆ นานา ทั้งยังประจบสอพลอ ตระกูลสวี

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงนิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรใดๆ ทั้งสิ้น

กงซุนเฟยหงสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามานั่งยังโต๊ะเจรจาพร้อมกับผู้ติดตามอีกสอง

“เดี๋ยวครับ”

จ้าวเฉิงเฉียนส่งเสียงขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “คุณท่านสวี ทั้งห้าตัวแทนของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงมีสองที่นั่งที่ยังว่างอยู่ นี่คุณคิดจะร้องรำฉายเดี๋ยวคนเดียวหรือไงครับ?”

“ผมขอแนะนำทุกคนให้รอคุณชายอิ่งาถึงงานประชุมก่อนแล้วค่อยลงมติกันดีกว่าครับ”

เมื่อจ้าวเฉิงเฉียนลุกขึ้นมาพูดแบบนี้ ทำเอากลุ่มคนที่กำลังสังเกตการณ์ด้วยความลังเล ก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา

ปัง!

สวีจิ่วหลิงตบโต๊ะอย่างรุนแรง ท่าทีเต็มไปด้วยโอหัง ใบหน้าเดือดจัด ก่อนจะพูดด้วยความเย็นชา “หลินอิ่งคนนั้นนับเป็นอะไรกัน?จะให้ทุกคนรอเขาเพียงคนเดียว?หน้าเขาใหญ่ขนาดไหนเชียว?”

“หึ!” สวีจิ่วหลิงพ่นเสียงเย็นชาออกมา ก่อนจะพูดต่ออย่างน่าเกรงขาม “แบบนี้มันอะไรกัน คนไม่มา อย่างนั้นก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่าเขาไม่มีความสามารถ !รอเขางั้นหรอ?รีบเริ่มกระบวนการและเริ่มการลงมติซะ”

“หึ จ้าวเฉิงเฉียน นี่สมองของคุณมีปัญหาหรือเปล่าเนี่ย?” สวีไป๋เห้อที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มเยาะขึ้นมา “ในที่นั่งแห่งนี้ ทุกคนรวมกันมีความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งของตี้จิงด้วยซ้ำ คุณจะให้คนที่มีชื่อเสียงเกียร์ติยศเหล่านี้ไปรอหลินอิ่งแค่คนเดียวงั้นหรอ?เขามีดีอะไรกัน?”

“ถูกแล้ว คุณจ้าว ตัวคุณเองก็เป็นหนึ่งในตัวแทนผู้บริการของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง ถ้าหากคุณคิดว่าโครงการของคุณท่านสวีมีปัญหากับองค์กรของคุณ คุณก็ลองเสนอโครงการของคุณออกมาให้ทุกคนได้ร่วมกันเปรียบเทียบ” เผียวจินฮุนพูดด้วยสีหน้าหยอกเย้า “ไม่ใช่การมาก่อปัญหาวุ่นวายที่นี่โดยมือเปล่าแบบนี้ นี่คุณคิดจะให้ทุกคนปฏิเสธผลประโยชน์ที่จะได้รับอย่างง่ายดายหรือไง?”

คำพูดประโยคนี้ดูเหมือนจะแทงใจดำอย่างมาก

สำหรับโครงการใหญ่ของประชุมสุดยอดเทียนหลงนี้มีเพียงแค่ตระกูลสวีฝ่ายเดียวที่มีการเสนอออกมา ล้วนเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง ทั้งยังมีการลงนามมาก่อนแล้วด้วย

ส่วนหลินอิ่งกลับไม่มาที่งาน แถมยังไม่มีคนอื่นที่ได้เตรียมโครงการที่เกี่ยวข้องมาด้วยเลย……

แบบนี้นอกจากตระกูลสวี ยังจะสามารถเลือกใครได้อีก?และยิ่งโดยเฉพาะข้อเสนอของ ตระกูลสวียังมีความน่าสนใจมากด้วย

“คุณ!”

สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนขรึมลง ในใจรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้หากพึ่งเพียงแค่อำนาจของเขาคนเดียว ไม่มีทางยับยั้งตาแก่สวีจิ่วหลิงและเผียวจินฮุนแน่นอน

และสำหรับเรื่องผลกำไรก้อนโตนี้ของเมืองเทียนหลง การจะใช้อำนาจอย่างเดียวไม่สามารถสะกดผู้คนได้ จะต้องหยิบเอาบางอย่างที่เป็นความจริงออกมา

แต่เขาจะไปหาโครงการที่น่าเชื่อถือและมีความระดับเทียบเท่ากับของตระกูลสวีในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ได้จากไหน อีกอย่างเขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นคนตัดสินใจแทนหลินอิ่ง และละทิ้งคำสัญญา…….

ครั้งนี้ พบกับอุปสรรคที่ยากจะหยุดกั้นแล้วสิ

“เอาเถอะ จ้าวเฉิงเฉียน คุณอายุยังน้อย ยังไม่รู้เรื่องอะไรควรไม่ควรก็ไม่เป็นไร ผมคร้านที่จะมาเอาเรื่องกับเด็กอย่างคุณ พวกคุณคระกูลจ้าวจะสนับสนุนหรือไม่ก็ตามใจเลย ยังไงซะ เมืองเทียนหลงแห่งนี้ ต่อให้ใครจะจากไปมันก็ยังคงต้องก้าวหน้าต่อไป !” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างเฉียบขาด

“และเช่นเดียวกัน ผมก็อยากจะบอกกับทุกคนด้วย” สวีจิ่วหลิงค่อยๆ ลุกขึ้น พูดด้วยใบหน้าที่ผ่าเผย “พวกคุณอยากสนับสนุนก็สนับสนุน ไม่สนับสนุนก็งดออกความเห็น เพราะไม่มีโครงการอื่น หากไม่ข้อโต้แย้งใดๆ อย่างนั้นก็ทำตามกระบวนการของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง สรุปมติการลงความเห็น ต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของพวกเราตระกูลสวีในการวางแผนตัดสินใจธุรกิจต่างๆ ทั้งหมดในเมืองเทียนหลง”

เมื่อพูดจบ สวีจิ่วหลิงกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างเฉยเมย

“ยังมีใครคัดค้านอีกหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำพูดทรงอำนาจนั้นของ สวีจิ่วหลิง เหล่าคนที่เดิมทีหวังจะเลือกฝั่งหลินอิ่ง ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ

ส่วนตระกูลซือหม่า รวมทั้งเหล่ากลุ่มเศรษฐีตระกูลเล็กๆ ที่คอยสนับสนุน ตระกูลสวีต่างก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังฮือฮา

เวลานั้นเองตรงบริเวณทางเข้างานประชุม ก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา พร้อมกับกลุ่มนักธุรกิจอีกกลุ่ม

นิ่งซวนกับหยูจื๋อเฉิงรีบเดินเข้ามา

“ทุกคน โปรดรอสักครู่ โปรดอ่านข้อเสนอของหลินซื่อกรุ๊ปก่อน ขอให้ทุกท่านโปรดดูก่อนค่อยตัดสินใจดีกว่าครับ”

นิ่งซวนวิ่งขึ้นไปยังโต๊ะเจรจา ใบหน้าหันเข้าหาทุกคน พูดขึ้นด้วยใบหน้าสุขุม

“ส่งให้ทุกคนดูหน่อยครับ” นิ่งซวนผายมือไปยังกลุ่มนักธุรกิจ พร้อมกล่าวอย่างเชื่องช้า “ต้องขออภัยด้วยนะครับ ทุกท่าน พอดีว่าระหว่างทางเจอกับเรื่องไม่คาดคิด ทาง คุณชายอิ่งมีเรื่องที่ต้องจัดการ รออีกสักครู่จะเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองครับ”

“ฮือ?”

ด้วยการมาถึงของนิ่งซวน สวีจิ่วหลิงถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

นิ่งซวนนำเอาทีมงานกลุ่มหนึ่งมาด้วย จึงมีการดำเนินการแจกจ่ายเอกสารข้อเสนอให้กับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

“ทุกท่าน โปรดดูให้ละเอียด นี่คือข้อเสนอของคุณชายอิ่งที่ให้ผมจัดเตรียมมาให้ทุกท่าน ผมขอแนะนำทุกท่านในช่วงเวลาที่คุณชายอิ่งยังมาไม่ถึง โปรดให้วิจารณญาณในการเลือกด้วย อย่าได้เลือกผิดฝ่ายเด็ดขาด” นิ่งซวนพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง จากนั้นจึงถอนหายใจออกแล้วนั่งลงบนเก้าโต๊ะเจรจา

บรรยากาศกลายเป็นความกระอักกระอ่วนทันที การแสดงออกของผู้คนในงานประชุมก็ซับซ้อนมากขึ้น

ส่วนบรรยากาศที่โต๊ะเจรจาก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

“คุณหยู ทางฝั่งหลินอิ่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอคะ?”

ขณะนั้นเอง จ้าวหลินเอ๋อร์เข้าไปหา หยูจื๋อเฉิง พร้อมถามด้วยความเป็นห่วง

“คือว่า……” หยูจื๋อเฉิงแสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังจ้าวหลินเอ๋อร์ ก่อนจะเหลียวมองไปยังจ้าวเฉิงเฉียน แล้วตอบด้วยเสียงนิ่งสงบ “ท่านอิ่งถูกลอบโจมตีระหว่างทางน่ะครับ มีกลุ่มคนต้าเหอมาขวางเขาเอาไว้ ดังนั้นเขาเลยให้พวกเรารีบมาควบคุมสถานการณ์ในการประชุมไว้ก่อน ส่วนเขาจะตามมาทีหลังครับ”

“คนต้าเหอ?” สายตาของจ้าวเฉิงเฉียนเกิดความประหลาดใจขึ้นมา ก่อนที่จะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในใจเขารู้เลยว่านี่เป็นผลหลังจากการฆ่ากงจิ่วคราวก่อน คนของสำนักยุทธ์เชียนจึงตามมาเอาคืนแบบนี้

ไม่อย่างนั้นมีหรือที่ยอดฝีมือมั่วไปจะสามารถยับยั้งหลินอิ่งเอาไว้ได้

“คุณหยู ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ทำตามที่วิธีการของคุณชายอิ่ง ช่วยเขาควบคุมงานประชุมเอาไว้”

จ้าวเฉิงเฉียนตั้งหน้าตรง พาจ้าวหลินเอ๋อร์และหยูจื๋อเฉิงตรงไปยังโต๊ะเจรจา

ในขณะที่ทางฝั่งโต๊ะเจรจา นิ่งซวนและสวีไป๋เห้อก็กำลังโต้เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ซึ่งทั้งสองต่างพ่นคำพูดรุนแรงใส่กัน

“นิ่งซวน คุณอย่ามาทำตัวไม่รู้จักดีชั่ว มาจนถึงขนาดนี้แล้วคุณยังกล้ามาขัดคอพวกเรา ตระกูลสวีอีกงั้นหรอ?คุณคิดว่าหลินอิ่งจะปกป้องคุณได้หรือไง?” สวีไป๋เห้อพูดด่าทอด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

ทั้งที่ดูเหมือนว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลับปล่อยให้ นิ่งซวนมาขขัดขวางสถานการณ์งั้นหรอ?

ทางฝั่งมุซาชิ จูโตะเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้ปล่อยให้ปลาลอดออกจากตาข่ายมาได้งั้นหรอ?

แต่ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งก่อนหน้านี้ นิ่งซวนเดินทางมาพร้อมรถคันเดียวกันกับหลินอิ่งถึงจะถูกสิ

“สวีไป๋เห้อ คุณอย่าคิดว่าแผนการสกปรกแบบนั้นของพวกคุณจะบรรลุผลสำเร็จ” นิ่งซวนโต้กลับด้วยเสียงทุ้ม แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ถ้าหากไม่ใช่เพราะถ้าเขาหลบหนีระเบิดพร้อมกับหลินอิ่ง เขาก็คงจะถูกคนบ้าคลั่งไร้สติอย่างพวกของสวีไป๋เห้อ ระเบิดตายคาที่ไปแล้ว!

“กำเริบ!”

ปัง!

สวีจิ่วหลิงตบโต๊ะพลางถลึงตามอง นิ่งซวนด้วยความเดือด

“คุณมีคุณสมบัติอะไรมานั่งบนโต๊ะเจรจา?มีสถานะอะไรกันถึงได้กล้ามานั่งเทียบเท่ากับผมบนโต๊ะเจรจาแบบนี้?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท