ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 605 สถานการณ์นิ่งชะงัก

บทที่ 605 สถานการณ์นิ่งชะงัก

“หืม?คุณกำลังพูดอะไร?” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้วแน่น พร้อมมองสวีจิ่วหลิงด้วยความสงสัย “คุณลงทือทำอะไรกับท่านอิ่งแล้วงั้นหรือ?”

เขามองดูท่าทีมั่นอกมั่นใจของ สวีจิ่วหลิง ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่ชัดเจนเกิดขึ้น

“เหอะๆ เจ้าเด็กหยิ่งยโสอย่างหลินอิ่ง คิดว่าตัวเองอยู่ในตี้จิงนี้ไร้คนที่จะต่อกรเขาได้ ถึงได้กดพวกเราตระกูลสวีถึงขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าคนอย่างฉันไม่ลงมือสั่งสอนเขาสักหน่อย เขาก็คงคิดว่าตี้จิงเขาพูดคำไหนต้องเป็นอย่างนั้นแล้วสิ?” สวีจิ่วหลิงตอบอย่างยิ้มเยาะ ใบหน้าแก่ชรายิ้มแย้มออกมาอย่างเบิกบานราวกับผู้ชนะ

“เจ้าหนุ่มแซ่จ้าว คุณโลดแล่นในตี้จิงมาก็นานขนาดนี้แล้ว จนถึงตอนนี้ยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีกงั้นหรอ?” สวีไป๋เห้อที่นั่งอยู่บนรถเข็นยิ้มอย่างได้ใจออกมาเช่นกัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ “หลินอิ่งแพ้อย่างราบคาบแล้วล่ะนะ หลังผ่านการประชุมสุดยอดครั้งนี้ไป เขาจะไม่มีที่ยืนใดๆ ในตี้จิงอีก จุดจบจะมีเพียงก็แต่ชื่อเสียงที่ป่นปี้ หรือไม่ก็กลับสู่ปรโลก ……”

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตาลงมองพวกเขาทั้งสองคน ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในจิตใจของเขา

การที่คนตระกูลสวีแสดงท่าทางโอหังออกมาชัดเจนขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าพวกเขามีความมั่นใจขนาดไหน

อีกอย่างทางฝั่งคนของหลินอิ่งก็ยังติดต่อไม่ได้อีกด้วย

สิ่งนื้ทำให้ในใจของจ้าวเฉิงเฉียนเกิดความสั่นคลอนไม่น้อยเลย หรือว่าหลินอิ่งจะถูกลอบทำร้ายจริงๆ ?

“พวกคุณพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?หลินอิ่งจะแพ้ให้กับคนตระกูลสวีอย่างพวกคุณได้ยังไง?” แววตาของจ้าวหลินเอ๋อร์แอบซ่อนความกังวลใจเอาไว้ พร้อมพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์

“ถ้าเกิดว่าพวกคุณกล้าทำเรื่องไม่ดีอะไรกับหลินอิ่ง คระกูลจ้าวจะไม่มีทางปล่อยพวกคุณไปแน่ !”

ในสายตาของเธอแล้ว หลินอิ่งเป็นการมีอยู่ของบุคคลสูงสุด ไม่มีทางที่จะแพ้ให้ใครเด็ดขาด

สวีจิ่วหลิงอุทานออกมาอย่างเยือกเย็น พร้อมกับเหลียวมองจ้าวหลินเอ๋อร์ “เธอนังเด็กคระกูลจ้าวนี่ ช่างไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียจริง ถึงได้กล้ามาเอะอะเสียงดังต่อหน้าคนแก่อย่างฉันเหมือนตัวอะไรกัน?”

“คนวัยรุ่นอย่างเธอ กล้าอ้างชื่อคระกูลจ้าวต่อหน้าคนอย่างฉันงั้นหรอ?ช่างไม่รู้อะไรเสียจริงๆ ”

“ฉันได้ยินมาว่า ตัวหลินอิ่งได้เข้าไปหาคระกูลจ้าวของพวกคุณเพื่อปฏิเสธการหมั้นหมายด้วยนี่?แม้แต่เงินชดใช้จากคระกูลจ้าวของพวกคุณหลินอิ่งคนนั้นยังไม่เอาเลยไม่ใช่หรือไง?” สวีไป๋เห้อพูดไปพลันทำหน้าหยอกเย้า “ช่างน่าขำจริงๆ เลยนะครับ?นี่พวกคุณบูชาหลินอิ่งเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ งั้นหรอ?คิดว่าเขาเป็นเทพเจ้าผู้ทรงอำนาจไร้ต้านทานหรือไง?”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เชื่ออีกหรอว่าหลินอิ่งน่ะไม่ไหวแล้ว?ยังคิดจะช่วยหลินอิ่งอีกงั้นหรือไง?” สวีไป๋เห้อส่ายหน้าอย่างได้ใจ “พวกคุณคระกูลจ้าวนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ เลยนะ”

ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ คระกูลจ้าวคอยช่วยเหลือหลินอิ่งไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือที่แจ้ง คอยยืนอยู่ข้างหลินอิ่งเพื่อปราบปราม ตระกูลสวีมาโดยตลอด

ดังนั้น คนตระกูลสวีจึงเกิดความไม่พอใจใน คระกูลจ้าว อย่างมาก

ตอนนี้สถานการณ์กำลังแน่นิ่งแล้ว หลินอิ่งได้ถูกมุซาชิ จูโตะคนนั้นควบคุมตัวเอาไว้ และอาจจะฆ่าตายแล้ว

เหล่าบรรดาคนตระกูลสวีที่อยู่ตรงนี้ ล้วนแต่มีท่าทีที่หายใจโล่งอกแสดงถึงความสุขใจออกมาอย่างเปิดเผย ราวกับว่าได้ขจัดเงามืดภายในใจจากการที่เคยถูกหลินอิ่งใช้อำนาจที่แข็งแกร่งสะกดเอาไว้

“คุณ!” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเขียวป๊าด พร้อมกับจะพูดอะไรบางอย่างต่อ

“หลีกไป!การประชุมสุดยอดเทียนหลงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!” สวีจิ่วหลิงทำเสียงดุขึ้นมา พลางมองไปยังจ้าวเฉิงเฉียนสองพี่น้องอย่างเย็นชา

“ผมขอเตือนพวกคุณคระกูลจ้าวเอาไว้เลยนะ ถ้าสถานการณ์ในเมืองเทียนหลงลงตัวหมดแล้ว และพวกคุณยังพอจะรู้จักประเมินตัวเอง ผมก็พอจะให้พวกคุณ คระกูลจ้าวได้รับผลประโยชน์บ้าง แต่ถ้ายังจะท้าทายกันอีก รับรองเลยว่าพวกคุณจะไม่ได้รับอะไรเลยจากโครงการใหญ่นี้!!”

หลังจากกล่าวเตือนและข่มขู่ทั้งสองแล้ว สวีจิ่วหลิงก็สาวเท้าก้าวใหญ่ เดินนำกลุ่มคนตระกูลสวีที่ยังคงแสดงท่าทีผยองเดินขึ้นไปนั่งยังที่นั่งด้านบน

ในขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มชายหนุ่มสวมชุดสูทเดินตามเข้ามา บนตัวของพวกเขาล้วนมีการติดเหรียญตราชีซิงเอาไว้ทุกคน

คนที่นำหน้า คือชายวัยกลางคนหนึ่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึม ซึ่งมักปรากฏในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับงานประชุมธุรกิจระหว่างประเทศต่างๆ

“เขาคือประธานของชีซิงกรุ๊ป?เผียวจินฮุน?”

“ใช่แล้ว ฉันเคยเจอเขาที่ประเทศเกาหลี เขาคือประธานเผียวแน่นอน เขาคนนี้ในประเทศเกาหลี ถือเป็นคนมีอำนาจที่ใช้อิทธิพลปกปิดเรื่องต่างๆ เลยเชียว !”

“ได้ยินมาว่า โครงการในเมืองเทียนหลงครั้งนี้ ตระกูลสวีจะร่วมมือชีซิงกรุ๊ปแน่นอน การเสนอโครงการของบริษัทตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจได้อย่างดีเลย……”

เมื่อดูจากการเข้างานของตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปแล้ว ผู้คนที่นั่งอยู่บนแท่นที่นั่งต่างก็เกิดวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นด้วยใจที่เต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา

แม้แต่คนบางกลุ่มที่ยังอยู่ในท่าทีสงบเสงี่ยมก็ยังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจ

ถึงแม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้คุณชายอิ่งของตระกูลฉีนั้นได้รับความได้เปรียบกว่ามาก ทั้งยังกดทับในทุกๆ ด้านจนตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปต่างก็อับอาย

แต่ว่าในวันที่สำคัญที่สุดแบบนี้ คุณชายอิ่งกลับไปมาปรากฏตัวเสียอย่างนั้น

และเมื่อต้องเผชิญการสถานการณ์ใหญ่แบบนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าทางฝั่งตระกูลสวีสามารถจู่โจมความสนใจของทุกคนได้ และท่าทีของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นประธานในการประชุมสุดยอดที่ได้รับชัยชนะ

หลังจากไม่นาน สวีจิ่วหลิงก็มานั่งลงยังเก้าอี้บนโต๊ะเจรจาทรงกลม ข้างกายของมีผู้ติดตามด้วยคือเผียวจินฮุนและสวีไป๋เห้อ เขานั่งลงคนเดียว มือทั้งสองซ้อนกันไว้บนไม้เท้า พร้อมกับวางมาดด้วยความองค์อาด

“ทุกท่าน ตามข้อตกลง การประชุมสุดยอดจะเริ่มอีกในห้านาทีจากนี้” สวีจิ่วหลิงเอนลงไปกับเก้าอี้ แล้วพูดอย่างเฉื่อยชา “รบกวนผู้ดำเนินการประชุมของตี้จิง และเหล่าตัวแทนตระกูลใหญ่ รีบประจำที่ด้วย”

“แต่ก่อนจะเริ่ม ผมจะขอแนะนำแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งให้กับทุกท่านได้รู้จัก เผียวจินฮุนประธานใหญ่ของชีซิงกรุ๊ป ครั้งนี้จะเป็นการร่วมมือของบริษัทตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปในการเสนอแผนการพัฒนาเมืองเทียนหลง ทุกท่าน โปรดพิจารณาเอกสารอย่างละเอียดที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์กับตัวของทุกท่านเอง ……”

เมื่อสวีจิ่วหลิงพูดจบ เผียวจินฮุนก็แสดงรอยยิ้มออกมาทันที พร้อมกับโบกมือทักทาย ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทีมผู้จัดการประชุมเริ่มดำเนินการส่งมอบเอกสารข้อเสนอให้กับเหล่าผู้มีเกียรติทุกคน พลางกล่าวแนะนำเป็นการเฉพาะ

“ข้อเสนอนี้ได้รับการลงนามโดยบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายสิบแห่งในต่างประเทศตราบใดที่ทุกท่านยินดีที่จะเข้าร่วมกับเรา คุณจะได้เพลิดเพลินกับทุกช่องทางทุกธุรกิจที่เป็นช่องทางในการสร้างประโยชน์มากมาย รวมทั้งเทคโนโลยี ……” ใบหน้าของเผียวจินฮุนเต้มไปด้วยความมั่นใจ พร้อมกับค่อยๆ กล่าวแนะนำ

แผนธุรกิจที่เขาเสนอออกมา ถือเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

การลงนามของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ ก็เทียบเท่ากับมีดินแดนอุดมสมบูรณ์สิบแห่งมาตั้งอยู่ตรงหน้า ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรดี

และยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คู่แข่งอย่างหลินอิ่งไม่อยู่ในงาน

ในการประชุมสุดยอดสุดล้ำสมัยของกลุ่มธุรกิจของตี้จิงนี้ พวกเขาตระกูลสวีก็ไม่รู้ว่าจะแพ้อย่างไรได้อีก

ซึ่งเป็นเพราะแบบนี้ คนตระกูลสวีจึงสามารถดำเนินการทุกอย่างเฉิดฉาย พร้อมกับกุมสถานการณ์เอาไว้ในมือ

“พี่ พี่รีบหาวิธีสักอย่างสิ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ทุกอย่างต้องจบเห่แน่ๆ เมืองเทียนหลงจะต้องพวกเขาตระกูลสวีรีดไถเงินแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย

จ้าวเฉิงเฉียนยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาฉายแววเย็นชาออกมา

ตระกูลหลักทั้งห้า หลินอิ่งไม่มา ตัวแทนของตระกูลนิ่งก็ไม่มา

ส่วนตัวแทนของคระกูลจ้าวก็คือเขา

ทางด้านตัวแทนของตระกูลกงซุนที่มาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดก็คือกงซุนเฟยหง ซึ่งก็ยังนั่งปิดปากเงียบไม่พูดอะไร และนิ่งสงบอย่างมาก

สามารถบอกได้ว่ามีตัวแทนของสี่ตระกูลหลักที่สนับสนุนทางทางด้านหลินอิ่ง ซึ่งถือว่ามีสี่คะแนนเสียงแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม หลินอิ่งเป็นผู้นำของโครงการเมืองเทียนหลง ดังนั้นทุกอย่างจึงอยู่ในมือของเขาหมดเลย

และในมือของพวกเขาก็ไม่ได้มีการจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเลยด้วย

หลินอิ่งที่เป็นแกนหลักกลับไม่มา การประจันหน้าครั้งนี้คงจะต้องพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท