ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 607 อย่ามาขัดขวางโอกาสแห่งความมั่งคั่งของแขกผู้มีเกียรติ

บทที่ 607 อย่ามาขัดขวางโอกาสแห่งความมั่งคั่งของแขกผู้มีเกียรติ

ใบหน้าของสวีจิ่วหลิงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความเคร่งขรึมจ้องมอง นิ่งซวน

แต่ว่านิ่งซวนกลับไม่ได้หลบสายตาของเขาเลย ทั้งยังหัวเราะเยาะออกมา

“สุนัขเฒ่าแซ่สวีย่างคุณ ใกล้จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาเบ่งอำนาจอยู่แถวนี้อีกงั้นหรอครับ?คุณจะมาเสแสร้งทำตัวใหญ่โตในฐานะอะไรกันครับ?” นิ่งซวนพ่นคำด่าออกมา “ผมตระกูลนิ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของคุณชายอิ่ง ผมถือเป็นตัวแทนผู้บริหารของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงเหมือนกัน เมื่อเป็นแบบนี้ผมยังมีอะไรที่ด้อยกว่าคุณอีกหรอครับ?”

“แก!” สวีจิ่วหลิงโกรธฟึดฟัด พร้อมกับโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเด็กรุ่นหลังอย่างแก รอให้การประชุมสิ้นสุดลง สิ่งแรกที่ฉันจะจัดการคือจัดการตระกูลของแกให้สิ้นซากซะ !”

“ตระกูลนิ่งของพวกแกสมควรที่จะหายไปตั้งนานแล้ว นิ่งไท่จี๋ไม่เอาไหนถึงได้ให้เด็กอย่างแกไปตามก้นหลินอิ่งต้อยๆ คอยเห่าหอนหรือไง?ไร้ยางอายซะจริง!”

สวีจิ่วหลิงที่โดนนิ่งซวนด่าทอ ถึงกับโกรธจนลนลานไม่น้อย

เมื่อลองคิดตามคนระดับเขา ตลอดเวลาอายุแปดสิบกว่าปีมานี้ยังไม่เคยมีใครในตี้จิงมาด่าว่าเขาเป็นสุนัขเฒ่าต่อหน้าเลยสักครั้ง!

และยิ่งไปกว่านั้นยังมาเกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดเทียนหลงอีก

“เหอะๆ ๆ ” นิ่งซวนหัวเราะเยาะเย้ย “คุณยังจะถือตัวเรื่องสถานะมาข่มขู่ผมอีกไหมครับ?คนแก่คร่ำครึอย่างคุณ ไม่มีเกียรติ ไร้ยางอาย อายุอานามก็เยอะขนาดนี้แล้วจะสมรู้ร่วมคิดกับคนต้าเหอทำเรื่องเลวๆ อีกหรอครับ?

“ลอบไปทำร้ายคุณชายอิ่งยังไม่เท่าไหร่ แต่ยังกล้าส่งคนให้ไปลอบฆ่า ฉู่ฉู่แล้วก็ผู้หญิงในบ้านตระกูลกงซุนอีก?คุณนี่ช่างไม่มีศักดิ์ศรีสักนิดเลยนะครับ !”

นิ่งซวนจงใจพูดเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ในระหว่างทางที่เขาเดินทางมาที่นี่ ก็ได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องกับฝั่งนั้นมาจากเย่เฮยแล้ว

“อะไรนะ?”

ทันใดนั้น กงซุนเฟยหงที่นั่งเอาแต่นั่งนิ่งเงียบมาตลอดอยู่บนโต๊ะเจรจาก็ส่งเสียงตกใจขึ้นมา

เขามองไปหาสวีจิ่วหลิงอย่างกะทันหัน พร้อมถาม “คุณท่านสวี นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

” คุณกงซุน ตอนนี้คุณลองโทรไปหาทหารลับที่ดูแลที่พักของกงซุนชิวอวี่เดี๋ยวคุณก็จะรู้สถานการณ์เองครับ” นิ่งซวนพูดด้วยเสียงหนักแน่น “คนตระกูลสวีที่บ้าคลั่งไร้สติพวกนี้ เพียงเพื่อที่จะต่อกรกับคุณชายอิ่ง สามารถทำได้ทุกอย่างไร้ขีดจำกัด”

“แกพูดจาเหลวไหล!ใส่ร้ายคนอื่น!เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน จะเอามาใส่ร้ายตระกูลสวีของพวกเราได้ยังไง?” สวีจิ่วหลิงโต้กลับด้วยเสียงขุ่นเคือง “ตระกูลสวีของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ที่ทำคุณประโยชน์มานับร้อยกว่าปี จะมาทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”

ตอนนี้ ในใจของสวีจิ่วหลิงเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา

คิดไม่ถึงเลยว่านิ่งซวนจะนำเอาข่วเรื่องนี้มาที่นี่ด้วย !ทั้งยังจงใจพูดให้ทุกคนได้ยินอีก

เดิมทีแผนการของตระกูลสวี คือการลอบฆ่าคุณหนูของตระกูลกงซุน และก็ฆ่าฉู่ฉู่คนนั้นทิ้ง โดยไม่คิดจะให้มีใครรอดทั้งนั้น

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า การดำเนินการของทางฝั่งสำนักยุทธ์เชียน จะเกิดปัญหาอันใหญ่หลวงขึ้น

“หึๆ ๆ คุณยังไม่ยอมรับอีกหรอครับ?” นิ่งซวนพูดพลางหัวเราะเยาะเย้ย “คนที่ตระกูลสวีของพวกคุณส่งไปลอบฆ่า ล้วนถูกคนของพวกเราจับไว้หมดแล้ว คุณยังคิดจะเล่นลิ้นอีกหรอครับ?”

ใช่แล้ว ก่อนที่จะมาถึงงานประชุม เย่เฮยได้โทรมาแจ้งแล้วว่าเขาเร่งเดินทางไปที่นั่นได้ทันเวลาและได้ควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งฆ่ากลุ่มนักฆ่าพวกนั้น และเหลือไว้เพียงแค่สองคนที่ยังมีชีวิตอยู่

จุดประสงค์ของการดึงเรื่องนี้ออกมาก็เพื่อที่จะยับยั้งสถานการณ์ต่างๆ แล้วทำให้งานประชุมเกิดความวุ่นวาย

ตื้ด ตื้ด!

กงซุนเฟยหงหันไปมองสวีจิ่วหลิงด้วยสายตาที่โกรธเคือง ใบหน้าร้อนรน พร้อมกับกดโทรศัพท์โทรออกไปทันที

“ฮัลโหล ชิวอวี่ ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” กงซุนเฟยหงถามอย่างตื่นตระหนก

เขามีเพียงลูกสาวคนเดียวเท่านั้น จึงต้องดูแลดุจแก้วตาดวงใจ

“สวัสดีครับ คุณกงซุน ตอนนี้คุณกงซุนชิวอวี่ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แค่เพียงได้สูดดมธูปสลบเข้าไปจนสลบไปเท่านั้น ตอนนี้ผมได้คุ้มกันส่งเธอไปโรงพยาบาลแล้วครับ” ปลายสายมีเสียงของชายหนุ่มที่ทุ้มเข้มดังออกมา

“แต่ว่า มีข่าวร้ายอย่างหนึ่งที่ต้องบอกคุณคือทหารลับในบ้านตระกูลกงซุนพวกคุณถูกฆ่าตายหมดแล้ว ……”

“คุณ คุณคือใคร?” กงซุนเฟยหงถามด้วยความสงสัย “แล้วเป็นฝีมือใครอีก?”

“ผมเป็นคนของคุณชายอิ่ง ชื่อว่าเย่เฮยครับ” เย่เฮยตอบกลับตามตรง “ผมจับตัวคนลงมือได้แล้วครับ ในนั้นมีทหารลับของตระกูลสวีอยู่ด้วย”

“ครับ ครับ ขอบคุณคุณมากๆ ที่ช่วยเหลือ” กงซุนเฟยหงพยักหน้าซ้ำๆ ก่อนจะวางสายลง

จากนั้นก็รีบส่งข้อความบางอย่างออกไปอย่างเร่งด่วน ราวกับกำลังแจ้งให้คนของตระกูลกงซุนเร่งไปที่นั่น

เมื่อเสร็จสิ้น กงซุนเฟยหงก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน พร้อมกับถลึงตาจ้องสวีจิ่วหลิงด้วยความโกรธสุดขีด

“ตระกูลสวีของพวกคุณคิดจะทำอะไร?ไม่มีแม้แต่กฎเกณฑ์สักนิดเลยหรือไง?คิดจะรังแกตระกูลกงซุนของพวกเรายังไงก็ได้หรือไรกัน?” กงซุนเฟยหงแทบจะคำรามถามออกมาโดยไม่คิดจะไว้หน้าสวีจิ่วหลิงอีกต่อไป

สีหน้าของสวีจิ่วหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พร้อมแย้งกลับด้วยเสียงหนักแน่น “กงซุนเฟยหง คุณโปรดระวังท่าทีของคุณด้วย !กับแค่โทรศัพท์สายเดียวคุณก็เชื่อแล้วงั้นหรอ?นี่มันเรื่องที่ไม่มีหลักฐานเลยสักนิด แต่งขึ้นมาทั้งนั้น”

“จากมุมมองของผม นี่เป็นแผนการที่หลินอิ่งทำกับ ตระกูลกงซุนของพวกคุณต่างหาก ทำไมคุณถึงไม่ลองคิดสักหน่อยว่าอาจจะเป็นฝีมือหลินอิ่งที่ส่งคนไปทำเรื่องแบบนี้ แล้วใส่ร้ายตระกูลสวี ของเรา?”

สวีจิ่วหลิงไม่ได้หน้าแดง ใจไม่ได้เต้นแรง พลางหรี่ตามองกงซุนเฟยหง

“สวีจิ่วหลิง มาจนถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังคิดจะแถอีกหรอ” นิ่งซวนพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ความอัปลักษณ์ของตระกูลสวี ได้เปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนแล้ว ยังคิดจะปิดบังอะไรอีก?”

“หึ!” สวีจิ่วหลิงพ่นเสียงเย็นชาออกมา “เด็กอย่างคุณมาพูดโวยวายอะไรอยู่ที่นี่ เอาแต่พูดอย่างนั้นอย่างนี้? ต้องการมาทำให้ทุกคนไขว้เขวงั้นหรอ?คิดจะทำให้แผนการของผมวุ่นวายสินะ?หรือเป็นเพราะหลินอิ่งมาไม่ได้อีกแล้ว?ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ้บสาหัสแล้ว?ใช่หรือเปล่า?”

“การเล่นกลยุทธ์เบนความสนใจพวกนี้ เด็กอย่างคุณอย่างอ่อนหัดนัก”

สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้าดูถูก

“วันนี้ พวกคุณจะพูดอะไรก็เชิญตามสบาย แต่ตระกูลสวีของเราจะต้องได้เมืองเทียนหลง ถ้าหากพวกคุณยังกล้าช่วยหลินอิ่งมาขัดคอพวกเรา หลังจบเรื่องผมจะคิดบัญชีพวกคุณทีละคนให้สาสม!”

“ประธานเผียว คุณเริ่มนับคะแนนมติได้เลย ถามให้ชัดเจนว่าในที่นี้ยังมีใครคัดค้านอีก?”

สวีจิ่วหลิงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างรุนแรง ราวกับนักพนันขี้แพ้ที่กำลังอิจฉาตาร้อนที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อเอาชนะ

ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ใจของเขาตื่นตระหนกจนนั่งไม่ติดเก้าอี้อีกแล้ว

สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนทางทางด้านมุซาชิ จูโตะก็ไม่รู้สู้กันไปถึงไหนแล้วด้วย

ดังนั้นจึงต้องรีบแก้ไขปัญหานี้ให้เด็ดขาดรวดเร็ว ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นอย่างไร แต่ก่อนที่หลินอิ่งจะมาถึง จะต้องรีบให้คนที่เห็นด้วยเซ็นสัญญาให้เสร็จโดยเร็ว

“ครับ” เผียวจินฮุนพยักหน้ารับ พร้อมกล่าวขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “วันนี้เป็นการประชุมสุดยอดเทียนหลง พวกคุณที่มีปัญหาส่วนตัวที่คับข้องใจโปรดไปจัดการเป็นการส่วนตัว อย่าได้มารบกวนโอกาสในการสร้างโชคลาภของทุกคน เข้าใจหรือเปล่า?”

“ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนแต่คิดหาวิธีที่จะสร้างผลประโยชน์ที่มากขึ้นใช่ไหมล่ะครับ?

“แล้วแบบนี้ยังมีใครคิดจะไปสนใจเรื่องดำขาวพวกนั้นของพวกคุณ?พวกคุณไม่สามารถมอบผลประโยชน์ที่เพียงพอให้กับทุกคน เลยคิดจะมาใส่เรื่องคุณธรรมของคุณท่านสวีใช่หรือเปล่า?ตลกสิ้นดี”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท