ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 614 ถ้าไม่อยากตายก็นั่งลงซะ

บทที่ 614 ถ้าไม่อยากตายก็นั่งลงซะ

ในการประชุมสุดยอด เสียงแตรรถอันแหลมสูงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อารมณ์ของทุกคนต่างตื่นเต้นไม่สงบ

“ด้านนอกมีขบวนรถหนึ่งเข้ามาครับ……” ผู้ติดตามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างกาย สวีจิ่วหลิงพร้อมกล่าวรายงานด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “คุณท่าน ดูเหมือนว่าจะเป็นจากทางการ”

“คนจากทางการ?” สวีจิ่วหลิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “รอบนี้ใครเป็นคนมา?”

“ไม่ทราบครับ แต่ดูจากลักษณะแล้วเป็นคนที่มีอำนาจมากๆ แม้แต่เหล่าคนที่พวกเราจัดเตรียมไว้ด้านนอกยังไม่มีใครกล้าขวางทางเลยครับ ……” ผู้ติดตามแจ้งอย่างตื่นตระหนก

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ทางการของตี้จิง จะมีหรือคนที่จะไม่ไว้หน้าฉันหน่ะ ?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ไม่แน่อาจจะมีรุ่นน้องคนไหนมาที่นี่เพื่อที่จะแสดงความยินดีกับพวกเราก็ได้”

“พ่อ ฟังจากเสียงแตรแล้ว นี่เหมือนจะเป็นเสียงรถของกองพิเศษเว่ยอันฝ่ายทหาร ตระกูลเราไม่ได้มีเครือข่ายกับกองพิเศษเว่ยอันนี่ ……แล้วพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่อาคารเทียนหลงในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยความแปลกใจอย่างมาก พร้อมกับไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“กองพิเศษเว่ยอัน?” รูม่านตาของสวีจิ่วหลิงหดเล็กลง พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น

และในตอนนั้นเอง บริเวณประตูทางเข้าของงานประชุม มีเหล่าชายหนุ่มท่าทางกล้าหาญชาญชัย รูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เดินแยกเป็นสองแถวเข้ามาด้านใน

ชายหนุ่มแต่ละคนสวมเครื่องแบบสีดำเคร่งขรึม สวมรองเท้าบู๊ตทหารสีดำ และถือป้ายที่แสดงถึงแผนกพิเศษบนไหล่ของพวกเขา

กลุ่มคนเหล่านี้ค่อยๆ เดินเข้ามาภายในงานทีละคนๆ ก่อนจะแตกแถวกันเป็นรูปโค้ง พร้อมกับยืนนิ่งตรงอยู่ตรงตำแหน่ง ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปขัดขวางทั้งยังรีบหลบทางให้อีกด้วย

และการกระทำนี้ก็สามารถระงับสถานการณ์วุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ลงได้อย่างสมบูรณ์ กระทั่งบางคนที่นับว่าเป็นบุคคลสำคัญของตี้จิง ในเวลานี้ยังแทบจะไม่กล้าหายใจออกมา

“กองพิเศษเว่ยอัน……”

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?นี่มันเกิดปัญหาใหญ่แล้ว……”

ตอนนี้ผู้คนในงานต่างก็รู้ถึงฐานะของผู้มาเยือนแล้ว จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปอีก !คนที่มีฐานะระดับนี้ แม้แต่เหล่าทวยเทพยังต้องหลบทางให้

อีกอย่าง นี่ก็เป็นถึงแผนกพิเศษของประเทศหลุง และจะขึ้นตรงกับผู้บัญชาระดับสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น และกองพิเศษเว่ยอันจะทำเพียงภารกิจใหญ่ รับผิดชอบภารกิจพิเศษและทำงานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับเท่านั้น

และโดยเฉพาะการปรากฏตัวหน้าสาธารณชนอย่างโหมครึกโครมแบบนี้

ดูแล้วคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน !

จนกระทั่งสมาชิกกองพิเศษเว่ยอันจำนวนนับสิบเข้าประจำที่ ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ ใบหน้าเรียบนิ่งคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในงาน ด้วยมือเปล่าที่ไขว้หลังเอาไว้

หลินอิ่งมาถึงแล้ว

ข้างๆ ของหลินอิ่งมีกัปตันหน้าตาเคร่งขรึมนายหนึ่งตามเข้ามาด้วย

เวลานี้ทั้งงานประชุมต่างนิ่งเงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจ

ทันทีที่หลินอิ่งปรากฏตัวสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมายังเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตอนนี้ทั้งจ้าวเฉิงเฉียนกับนิ่งซวน รวมทั้งคุณชายโหมและควินสัน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที นิ่งซวนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ส่วนใบหน้าจ้าวเฉิงเฉียนก็มีความตกใจอยู่ไม่น้อย ในขณะที่คุณชายโหมแสดงหน้าเคร่งขรึมออกมา

ส่วนจ้าวหลินเอ๋อร์และแอนนาต่างก็จ้องมองไปยังหลินอิ่งจนตาแทบจะโพลนออกมา

จะมีเพียงก็แต่สวีจิ่วหลิงและเผียวจินฮุนที่เบิกตาโพลงรูม่านตาเล็กลง ด้วยท่าทีหวาดกลัว

“หลิน หลินอิ่ง มาได้ยังไงกัน ?” สวีไป๋เห้อตกใจอย่างหนัก ก่อนจะมองไปยัง สวีจิ่วหลิงด้วยความตื่นกลัว “พ่อ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน พ่อ พ่อ ……”

ตอนนี้การปรากฏตัวของหลินอิ่งทำให้คนอย่างสวีจิ่วหลิงเกิดความกดดันในใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เดิมทีเขาคิดว่าหลินอิ่งที่ถูกสกัดเอาไว้ได้แล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวได้อย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ ทั้งยังถูกคุ้มกันโดยกองพิเศษเว่ยอันอีกด้วย?

นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดถึงได้เลย

สวีจิ่วหลิงไม่ได้สนใจคำถามของสวีไป๋เห้อเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับสูญเสียความมั่นใจที่มีก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง เขาจ้องมองหลินอิ่ง

ไม้เท้าหัวมังกรในมือก็สั่นเทาอย่างเบาๆ

“อย่าบอกนะว่าการต่อสู้ของพวกมุซาชิ จูโตะแพ้แล้ว?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก

“หันหลังกลับ แล้ววางอุปกรณ์สื่อสารในมือลง”

กัปตันที่อยู่ข้างกายหลินอิ่ง เดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว พร้อมกับเบิกตามองไปยังคนตระกูลสวีที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจา และสั่งการด้วยเสียงหนักแน่น

ในเวลาเดียวกัน แสงเลเซอร์อินฟราเรดหลายดวงก็ถูกเล็งไปที่หน้าผากของสวีไป๋เห้อ

“ห๊า?นี่คือ!”

สวีไป๋เห้อที่เห็นแสงเลเซอร์อินฟราเรดส่องผ่านตามา เขาตกใจจนทำโทรศัพท์ตกจากมือลงไปบนพื้น

ตอนนี้ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นทันทีว่าเหล่ากองพิเศษเว่ยอันที่ยืนเป็นรูปโค้งบนแท่นสูงนั้นกำลังถือปืนไรเฟิลกันอยู่

บรรยากาศดูร้ายแรงขึ้นมาทันที

“พวกคุณ นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกัน?” สวีไป๋เห้อยกมือทั้งสองขึ้น พร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “พ่อ พ่อ พ่อควรจะออกหน้าพูดอะไรหน่อยสิ ?นี่จะเอาปืนมาจ่อหัวแบบนี้มั่วซั่วได้ยังไงกัน?”

“หลินอิ่ง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?คุณกล้าทำเรื่องใหญ่โตแบบนี้อย่างไร้เหตุผลได้ยังไงกัน?” สวีจิ่วหลิงพยายามสงบอารมณ์เอาไว้พร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก

เอาตามตรง ในสถานการณ์แบบนี้มีเพียงแค่คนแก่คร่ำครึอย่างสวีจิ่วหลิงเท่านั้นที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

เพราะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโชคดีเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้แม้แต่เผียวจินฮุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังตกใจจนสีหน้าซีดเผือดหมดแล้ว

“คุณชายอิ่ง คุณ นี่คุณกำลังทำอะไร?ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ไม่ควรจะทำเรื่องแบบนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ?”

“ที่นี่คือการประชุมสุดยอดเทียนหลง หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ?”

บนที่นั่งประชุมมีคนจำนวนหนึ่งทำใจกล้าส่งเสียงออกมา

“คุณก็คือคุณหลินของหลินซื่อกรุ๊ป การกระทำแบบนี้ของคุณ!เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนชัดๆ !” ชายต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “ต่อให้พวกคุณกำลังจัดการคดี ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้ ผมจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสถานทูต!”

“ถูกต้อง!พวกเราคือพลเมืองของประเทศM ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของประเทศM พวกคุณไม่สามารถใช้การกระทำแบบนี้มาควบคุมและข่มขู่พวกเรา และสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจของพวกเราด้วย”

“ไม่สนแล้ว พวกเราต้องออกไป!ให้พวกเราออกไป!”

กลุ่มตัวแทนชาวต่างชาติจากกลุ่มธุรกิจนานาชาติ ต่างก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พึงพอใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนหวังจากออกไป

กัปตันแสดงสีหน้าเยือกเย็นยืนอยู่ด้านหน้า

หลังจากที่ทำทีจัดเสื้อเสร็จ ก็พูดต่อด้วยเสียงที่เย็นชา:”กองพิเศษเว่ยอันกำลังทำคดี หากไม่อยากตายก็นั่งลงซะ !”

หลังจากที่ประโยคอันเย็นชานี้จบลง สมาชิกกองพิเศษเว่ยอันก็รีบจัดการกับเหล่าคนที่จับอยู่ในมือตัวเอง พร้อมกับนำตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น ทุกอย่างก็เงียบสงบลง

เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นอีกครั้ง !

เหล่าตัวแทนกลุ่มธุรกิจชาวต่างชาติที่กำลังอยากจะโวยวาย ต่างก็พากันนั่งกลับลงไปอย่างว่าง่าย แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ

“ทำคดี……” สวีไป๋เห้อพึมพำกับตัวเองพร้อมกับตกใจจนต้องหลบไปอยู่หลังสวีจิ่วหลิง

“พวกคุณมีหมายจับหรือเปล่า?แล้วทำคดีอะไรกัน?แล้วทำกับใคร?” สวีจิ่วหลิงเอามือที่สั่นเทาของตัวเองซุกเข้าไปในแขนเสื้อพลางถามด้วยเสียงหนักแน่น

กัปตันแสยะเสียงเยาะเย้ยออกมา ไม่สนใจ สวีจิ่วหลิง ก่อนจะหันหลังกลับไปตั้งตัวตรงทำความเคารพ

“หัวหน้าหลิน เชิญคุณพูดได้เลยครับ”

หลินอิ่งยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบ เดินตามขั้นบันไดพรมแดงที่ปูเอาไว้ค่อยๆ ไปยังโต๊ะเจรจา

ส่วนกัปตันก็เดินตามหลังมาพร้อมกับสมาชิกอีกหลายคน

ภายใต้การจับตามองของทุกคน หลินอิ่งค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างนั้นจนถึงโต๊ะเจรจา

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ถูกจับตามองโดยผู้มีอำนาจ ทั้งสวีไป๋เห้อและเผียวจินฮุนต่างก็เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก แผ่นหลังก็ถูกเหงื่อชุ่มอยู่เหมือนกัน พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าสบตากับหลินอิ่งเลยด้วยซ้ำ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท