ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 615 เอาตัวไปให้หมด

บทที่ 615 เอาตัวไปให้หมด

“หลินอิ่ง นี่คุณหมายความว่ายังไงกันแน่?” สวีจิ่วหลิงถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ

เขาแทบจะแบกรับแรงกดดันแบบนี้ไม่ไหวจนอกสั่นขวัญแขวนไปหมดแล้ว และมีความรู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

มุมปากของหลินอิ่งปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พลางชำเลืองมอง สวีจิ่วหลิง

“สวีจิ่วหลิง เดิมทีผมเองก็คิดอยากจะให้ตระกูลสวีของพวกคุณเหลือศักดิ์ศรีเอาไว้บ้าง” หลินอิ่งทอดสายตาอันลุ่มลึกออกไป ก่อนจะพูดอย่างเน้นเสียง “คุณรอรับโทษที่ตัวเองก่อได้เลย”

“สวีไป๋เห้อ เผียวจินฮุน และคนที่เกี่ยวข้อง เอาตัวไปให้หมด”

หลินอิ่งอออกคำสั่งอย่างเฉยชา

ซู่ ซ่า!

ทันใดนั้น กัปตันและเหล่าสุดยอดกองพิเศษเว่ยอันก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว

โดยการจับสวีไป๋เห้อและเผียวจินฮุนกดลงไปกับพื้น พร้อมล็อกมือเอาไว้ด้านหลังจนไม่สามารถขยับได้

“คุณ!พวกคุณกำลังทำอะไร?ไม่มีเหตุผลแล้วจะมาจับคนได้ยังไง?”

“ผมเป็นคนประเทศเกาหลี องค์กรของประหลุงของพวกคุณ มีสิทธิ์อะไรมาจับผม ?มีหลักฐานอะไร?หากผมได้กลับไปผมจะไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อฟ้องพวกคุณ!” เผียวจินฮุนพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังพลางคำรามออกมาด้วยใบหน้าโกรธเคือง

หลินอิ่งหัวเราะเยาะ พร้อมดึงเก้าอี้ไท่ซือออกมาแล้วนั่งลงข้างโต๊ะเจรจาอย่างผ่าเผย

“บอกพวกเขาว่าทำผิดอะไร”

หลินอิ่งออกคำสั่งอย่างเฉยชาอีกครั้ง

กัปตันพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองพวกเขากลุ่มนั้นอย่างเย็นชา

เขาจงใจกดเสียงให้ต่ำลง พลางพูดด้วยเสียงเรียบ:”สวีไป๋เห้อคุณถูกสงสัยว่าเป็นกบฏ!เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่?”

“ไม่!ไม่!” สวีไป๋เห้อตื่นตระหนกจนเหงื่อไหลท่วมหน้า ใจก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา “พวกคุณพูดจาเหลวไหล”

กัปตันหันไปมองเผียวจินฮุนพร้อมประกาศ:”คนเกาหลี เผียวจินฮุน คุณมีส่วนร่วมในการลอบสังหารนักการเมืองที่เกษียณอายุของประเทศหลุง ในคดีของท่านฉีเวิ่นติ่ง และคดีที่ถูกไต่สวนโดยฝ่ายทหาร ไม่ว่าเกาหลีของคุณจะออกหน้าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์”

เผียวจินฮุนสีหน้าเขียวปั๊ด คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้

เดิมทีเขายังคิดจะใช้ประโยชน์จากสถานะของตัวเองในเกาหลีด้วยซ้ำ เพราะถึงแม่ว่าประเทศหลุงจะเป็นหน่วยงานรัฐ แต่กลับมีความเข้มงวดอย่างมาก

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเลย เขาก็ถูกดัดทางเอาไว้หมดแล้ว

ต่อให้จะเป็นเจ้าสำนักขององค์กรธุรกิจต่างประเทศของเขา ก็คงจะไม่สามารถเอาชนะข้อหานี้ได้ ……

“นี่ นี่คือการใส่ร้าย นี่คือเรื่องเข้าใจผิด……” เผียวจินฮุนสมองโล่งไปหมด เขาพร่ำเพ้อไม่ได้ความ พร้อมพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “ไม่มีทางเด็ดขาด พวกคุณต้องเข้าใจผิดแน่นอน !”

เมื่อต้องถูกนำตัวไปยังกองพิเศษเว่ยอันของประเทศหลุง เผียวจินฮุนถึงต่อให้มีความหลักแหลมที่ไม่ธรรมดาแต่ก็ต้องจบเห่ลง

ตอนนี้เขารู้สึกเสียดายจนไม่รู้จะเสียดายอย่างไรแล้ว

ตอนแรกคิดว่าการมาประเทศหลุงเพื่อต่อกรกับหลินอิ่งอย่างมากก็แค่สูญเสียทรัพย์สินบางส่วนไป หรือไม่อย่างมากถ้าไม่สำเร็จก็แค่ถอนตัวออกไปเท่านั้น

แต่ในสถานการณ์ตอนนี้หลินอิ่งกลับกำลังจะผลักทั้งชีซิงกรุ๊ปของพวกเขาลงสู่เหวลึก !

ความสามารถของชายคนนี้มาถึงจุดที่ไม่สามารถคาดเดาได้แล้ว

“เรื่องทุกอย่างต้องมีหลักฐาน พวกคุณไม่มีหลักฐานจะออกมาพูดตามอำเภอใจแบบนี้ได้ยังไง ?” ในใจของสวีจิ่วหลิงคิดว่ายังพอมีทางรอด ดังนั้นจึงถามออกไปอย่างแคลงใจ

กัปตันมองสวีจิ่วหลิงด้วยสายตาเย็นชาพร้อมตอบด้วยเสียงทุ้มหนัก:”คดีที่ไต่สวนโดยฝ่ายทหาร คุณคิดว่าจะไม่มีหลักฐานเท็จจริงงั้นหรอครับ ?”

“กลุ่มคนคนต้าเหอที่วางยาคุณท่านฉี ตอนนี้ได้ถูกรวบตัวไว้หมดแล้ว ได้มีการส่งมอบเทปเสียงบันทึก และยอมรับสารภาพหมดแล้วว่า พวกคุณตระกูลสวีได้มีการอำพราง ปกปิดและสมรู้ร่วมคิด !”

“นอกจากนี้ สวีไป๋เห้อลูกชายของคุณ และคนต้าเหอกับคนเกาหลี ได้มีส่วนร่วมกันในการก่อเหตุผิดกฎหมายที่สำคัญหลายครั้ง แต่ผมจะไม่ขอบอกถึงรายละเอียดของแต่ละเรื่องแล้วกัน”

“ท่านสวีจิ่วหลิงถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าคุณเคยเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของรัฐ และไม่ต้องคำนึงถึงเกียรติและศักดิ์ศรี คุณ ก็สมควรที่จะถูกกดลงไปเช่นกัน”

หลังจากที่กัปตันพูดประโยคนี้จบลง ดวงตาของสวีจิ่วหลิงก็เต็มไปด้วยความกลัว ใบหน้าเหี่ยวชราก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ตุ๊บ!

ร่างกายของสวีจิ่วหลิงอ่อนลง พลางนั่งลงไปบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองของเขาไร้แวว ราวกับว่าเพียงครู่เดียวเขาก็แก่ลงไปอีกหลายสิบปี เหมือนกับตะเกียงที่ใกล้จะดับลงไปทุกที เมื่อเทียบกับท่าทีเบิกบานเมื่อสักครู่นี้แล้วอย่างกับเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว

ในใจของสวีจิ่วหลิงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยว่าตระกูลสวีถึงคราวพินาศแล้วจริงๆ

ไม่ใช่เพียงแค่สูญเสียโครงการใหญ่อย่างเมืองเทียนหลง สูญเสียตำแหน่งทางโลกธุรกิจเท่านั้น

แต่รากฐานของตระกูลสวีทั้งหมดล้วนถูกหลินอิ่งกำจัดจนหมดสิ้น !

และสิ่งที่กัปตันพูดก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด……แถมยังมีหลักฐานที่แน่นอนแล้วด้วย ไม่อย่างนั้นกองพิเศษเว่ยอันก็คงไม่ออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ ……

หากตระกูลสวีรุ่นนี้ติดคุก ชีวิตหลังจากนี้ของตระกูลสวีในตี้จิง รากฐานที่ลำบากสั่งสมมานับร้อยปี รวมทั้งเกียรติยศความน่าเชื่อถือที่มีมานานนับศตวรรษก็คงจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก !

ข้อหากบฏ ถูกกดทับลงมาจนหลังของตระกูลสวีแทบจะหักอยู่แล้ว!

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน ผมอยากจะขอโทรศัพท์สักหน่อย ขอโทรไปหารองผู้บัญชาการ……” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสั่นเทา

“สวีจิ่วหลิง คุณอย่าคิดว่าจะมีโชคดีเกิดขึ้นอีกเลย ทางผู้บัญชาการสูงสุดพวกเราได้ไปกล่าวทักทายมาก่อนแล้ว” กัปตันพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“คุณท่านอย่างคุณ จากนี้ก็ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบจิตสงบใจดีกว่านะครับ เรื่องนี้มีพยานหลักฐานที่แน่ชัดแล้ว ใครก็ขัดไม่อยู่แล้ว”

“นี่คือผลสรุปจากการเจรจาของท่านปู่ฉีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ฝ่ายทหาร ถ้าหากไม่ใช่คำขอของท่านปู่ฉี บางทีเกียรติยศช่วงสุดท้ายของชีวิตคุณก็คงจะไม่เหลือ ……”

สวีจิ่วหลิงเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะหันไปจ้องหลินอิ่งเขม็งด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว

หลินอิ่งสบตากับสวีจิ่วหลิงด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

“เหอะๆๆ” สวีจิ่วหลิงหัวเราะออกมาอย่างทุกข์ใจ แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์และสิ้นหวัง “ตระกูลฉีได้ให้กำเนิดคนที่มีความสุดยอดจริงๆ ……”

“ผมถามตัวเอง ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยพอใจในตัวฉีเวิ่นติ่งเลย แต่ทว่าลูกหลานของเขากลับทำให้ผมยิ่งไม่ชอบมากกว่านั้นหลายพันเท่า !”

“ช่างเถอะ ๆ” สวีจิ่วหลิงพึมพำกับตัวเองอย่างน่าเวทนา “เรื่องทุกอย่างมาถึงวันนี้ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของผมคนเดียว ช่างรู้สึกละอายต่อบรรพบุรุษ ตระกูลสวีเสียจริง บารมีนับศตวรรษ และชื่อเสียงนับหลายร้อยปี ……สลายจนหมดสิ้น”

“ถ้าหากว่าคุณไม่สั่งฆ่าคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ท้าทายกับความอดทน” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “คุณปู่ของผมก็คงจะยังพอนึกถึงความสัมพันธ์ที่ดีมาแต่ก่อน และมอบโอกาสรอดให้กับคุณ”

“ภัยจากฟ้า หลบหลีกได้ แต่ภัยจากตัวเอง ไร้ทางหนี”

หลินอิ่งมองไปยังสวีจิ่วหลิง แล้วพูดอย่างเฉยชา

“ผม ผม!แค๊กๆๆ !”

สวีจิ่วหลิงใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและไม่พอใจ พร้อมกับกระอักเลือดสดๆ ออกมา ก่อนที่จะทรุดลงไปกับพื้นอย่างแรง

บุคคลที่มีอิทธพลแห่งยุคสมัยแห่งตี้จิงอายุราวเก้าสิบคนนี้ จากไปด้วยความเกลียดชัง และทรุดลงตายไปกับพื้น

“พ่อ!”

“คุณท่าน!”

“คุณท่าน คุณจะมาเป็นอะไรไม่ได้นะ!”

กลุ่มคนตระกูลสวี ต่างวิ่งกรูเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ พลางล้อมรอบร่างของสวีจิ่วหลิงเอาไว้ ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและทุกข์ใจ

หลินอิ่งมองดูสถานการณ์นี้อย่างไร้สีหน้าก่อนจะหันหลังกลับอย่างใจเย็น

“ตรวจสอบชื่อทั้งหมดในรายการ แล้วจัดการซะ”

หลังจากที่ออกคำสั่งเสร็จ กัปตันก็กวักมือ แล้วเหล่าสุดยอดสมาชิกก็วิ่งเข้ามาเตรียมจะจับคน

ไม่มีใครกล้าต่อต้าน และไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดขวางเลย

ผู้คนทั้งหมดที่เบิกตามองดูหลินอิ่งกดดันสวีจิ่วหลิงจนตายคาที่ ต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา

สายตาที่พวกเขามองไปยังหลินอิ่ง เต็มไปด้วยความริษยาและความหวาดกลัว ดั่งเกรงกลัวต่อเทพเจ้า!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท