ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 618 จัดการอย่างเหมาะสม

บทที่ 618 จัดการอย่างเหมาะสม

“ตระกูลฉู่กับตระกูลโครเมียร์……” ดวงตาของหลินอิ่งนิ่งลึก พร้อมกับจิบชาดำ และพึมพำกับตัวเอง

ทั้งสองตระกูลนี้ล้วนมีความน่ารำคาญใจเสียจริง

ทางฝั่งของตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ตัวเขานั้นยังมีหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงกับพวกเขา ซึ่งก็คือการไปนำเอาตัวยาของพวกเขามา

และความต้องการของฉู่จี้ชังพ่อมหอคนนั้นคือการจับคู่เขากับฉู่ฉู่หลานสาวของตัวเอง

แผนเดินทางไปยังเตียนหนานจำเป็นต้องไป

แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ส่วนทางด้านตระกูลโครเมียร์ ในใจของหลินอิ่งยังคงต้องมีความระวังรอบคอบอยู่เสมอ

เพราะท่านเอิร์ลแห่งตระกูลโครเมียร์ มีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวตนของเขามากเกินไป

และยิ่งกว่านั้น ในตอนนั้นที่เขาได้เผชิญหน้าปราบมือกับชายคนนี้ ท่านเอิร์ลก็นับได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือระดับรายการแห่งฟ้าเลยทีเดียว แถมยังเป็นโหดเหี้ยมเลือดเย็นที่ควบคุมโลกแห่งความมืดทางทิศตะวันตกอีกด้วย

และในตอนนี้หลินอิ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้ถึงความคิดที่แท้จริงท่านเอิร์ล

ถ้าหากอยู่ในช่วงรุงเรืองที่สุด เขาก็ยังพอที่จะจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้

ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าหากท่านเอิร์ลคนนั้นเดินทางมายังประเทศหลุงด้วยตัวเองจริงๆ ความโกลาหลวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่สามารถควบคุมได้

“เชิญพวกเขาเข้ามาให้หมดเถอะ จัดให้อยู่คนละห้องรับรอง เดี๋ยวผมจะไปต้อนรับเอง” หลินอิ่งกล่าวสั่งอย่างแน่วแน่

“ครับ!” หยูจื๋อเฉิงพยักหน้าอย่างเคารพ

สิบนาทีผ่านไป

ภายในห้องรับรอง อาคารดวงดาว

ฉู่ฉู่นั่งรออยู่บนโซฟาอย่างกระสับกระส่าย โดยมีชายวัยกลางคนอีกสองคนที่สีหน้าเคร่งขรึมกำลังนั่งอยู่ด้วย

หลี่ผูที่อยู่ข้างๆ ก็เข้ามาเสิร์ฟน้ำชาให้กับพวกเขา

และในตอนนั้นเอง ประตูก็ถูกเปิดออก ก่อนที่หลินอิ่งจะเดินเข้ามา แล้วดึงเก้าอี้ไท่ซืออกพร้อมกับนั่งลงไปอย่างสง่าผ่าเผย

ฉู่ฉู่หน้าแดงระเรื่อเหลือบมองไปยังหลินอิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน:”คุณหลินคะ คุณลุงทั้งสองของฉันต้องการที่จะพูดคุยกับคุณ อย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

หลินอิ่งพยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

จากนั้น ฉู่ฉู่กับหลี่ผูก็เดินออกจากประตูไป

ภายในห้องรับรอง เหลือเพียงแต่หลินอิ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับฉู่หยุนซานของตระกูลฉู่ที่เคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าสงบมั่นคง

“ไม่ทราบว่า ทั้งสองท่านเดินทางมาไกลขนาดนี้ เพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”

หลินอิ่งพูดอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะยกกาต้มชาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อรินชาให้กับตัวเอง

“หลินอิ่ง ผมจะไม่คุยเรื่องอื่นกับคุณแล้ว” ฉู่หยุนซานมองไปยังหลินอิ่งพลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องที่ช่วงนี้คุณได้ทำขึ้นในตี้จิง พวกเราเองก็พอจะได้ยินมาบ้างแล้ว”

“เรื่องที่เกิดขึ้นคราวที่แล้ว ผมสามารถให้อภัยกับความสะเพร่าของคุณ ตอนนี้คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ตระกูลฉู่ของเราแล้ว” ฉู่หยุนซานพูดอย่างผ่อนคลาย “การมาตี้จิงในครั้งนี้ ผมกับคุณท่านได้มีการปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว”

ฉู่หยุนซานมักจะติดตามการเคลื่อนไหวในตี้จิงอยู่ตลอดเวลา

หลังจากการมายังตี้จิงในครั้งนี้ ก็ได้รู้ถึงพลังอำนาจที่สุดยอดของหลินอิ่งด้วยเช่นกัน

หลังจากชั่งน้ำหนักในใจแล้ว เขาก็นับว่ายอมรับในตัวหลินอิ่งแล้ว

อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาจะดูถูกหลินอิ่งเจ้าเด็กกระจอกจากโลกธรรมนี้

หลังจากนิ่งไปสักพัก ฉู่หยุนซานก็พูดขึ้นต่อ:”ผมขอถามอะไรคุณก่อนว่า เรื่องของฉู่ฉู่ในตี้จิงนี่มันเกิดอะไรขึ้น ?ทำไมถึงได้เจอกับการลอบฆ่าจากคนอื่นถึงสองครั้งด้วย?ได้ยินมาว่าเป็นกลุ่มคนต้าเหอ?แล้วเป็นมายังไง”

หลินอิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ:”เรื่องที่ฉู่ฉู่ต้องเจอกับการถูกลอบฆ่า ผมรู้สึกขอโทษตระกูลฉู่เป็นอย่างยิ่ง คนต้าเหอพวกนั้นล้วนพุ่งเป้ามาที่ผม”

“อืม” ฉู่หยุนซานตอบ” อืม” เพียงคำเดียว ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร “ที่นี่คือตี้จิง พื้นที่ของคุณ คุณควรที่จะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น นี่ยังโชคดีที่ฉู่ฉู่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นพวกเราตระกูลฉู่ไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่”

ฉู่หยุนซานแสดงออกถึงความไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมาก ทั้งยังมีความหมายเชิงเตือนสติหลินอิ่งถึงเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบ

อย่างไรเสีย กำลังความแข็งแกร่งของหลินอิ่งก็มีมากเกินไป

แต่เพราะคุณท่านของตัวเขาต้องการให้หลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลฉู่ อย่างนั้นจึงไม่สามารถที่จะปล่อยให้หลินอิ่งแข็งแกร่งเกินไป

หลินอิ่งไม่ส่งเสียง และไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

เขารู้ดีว่า ฉู่หยุนซานแสดงออกมาถึงการบังคับ และวางท่าของตระกูลฉู่อยู่

“จริงด้วย แล้วคนต้าเหอมีความเป็นมาอย่างไร ?ถึงได้กล้ามาลงมือกับคนตระกูลฉู่ของเรา เรื่องนี้จะต้องกลับไปเอาคืน” ฉู่หยุนซานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีพร้อมถามอย่างจริงจัง

หลินอิ่งตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง:”คนต้าเหอกลุ่มนั้น มาจากสำนักยุทธ์เชียน”

“สำนักยุทธ์เชียน?” ฉู่หยุนซานขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงสีหน้าสงสัยขึ้นมา

เขาในฐานะคนภายในแวดวงลึกลับ แน่นอนว่าเคยไปยินเรื่องราวการมีอยู่ของสำนักยุทธ์เชียน

นั่นเป็นกลุ่ม

นั่นเป็นหนึ่งในสามกองกำลังอำนาจมืดแห่งประเทศต้าเหอเลยทีเดียว

ประเทศต้าเหอถึงแม้จะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ หนึ่งเท่านั้น แต่กองกำลังอำนาจมืดภายในประเทศกลับมีรากฐานต้นกำเนิดที่อยู่มาอย่างยาวนาน เมื่อนำมาจัดอันดับในโลกถึงว่าสามารถจัดเป็นอันดับต้อนๆ เลยเชียว

“กับคนอย่างคุณก็ไปท้าทายกับสำนักยุทธ์เชียนด้วยงั้นหรอ?นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉู่หยุนซานถามอย่างประหลาดใจ

การประลองฝีมือคราวที่แล้ว หลังจากที่ถูกหลินอิ่งแย่งชิงชัยชนะไปได้ ตอนนี้เขาจึงต้องวิเคราะห์หลินอิ่งในเชิงที่ลึกมากขึ้น

เมื่อลองดูจากภายนอก หลินอิ่งเป็นคนที่ไม่ได้มีเบื้องหลังเกี่ยวกับแวดวงลึกลับเลย แถมยังไม่มีชื่อเสียงที่นั่นด้วย

แต่กลับสามารถกลายเป็นเจ้าพ่อตี้จิง กวาดล้างกำลังอำนาจลึกลับบางส่วนในตี้จิงได้อีก

แถมยังมีมีทักษะที่น่าเกรงขามอีกด้วย ถึงขั้นที่คุณท่านของเขาบอกว่าเคยได้พบกับเด็กแบบนี้มาก่อน

ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนหยุดคิดไม่ได้ และทำให้ในใจของฉู่หยุนซานเกิดความสงสัยอย่างมาก

“ไม่อาจจะบอกเล่าได้ครับ” หลินอิ่งตอบกลับอย่างเฉยชา

ฉู่หยุนซานสบถเสียงเย็นชาออกมา:”คุณไม่พูดก็ช่างเถอะ สำนักยุทธ์เชียนได้มาท้าทายตระกูลฉู่ของพวกเรา แน่นอนว่าตระกูลฉู่จะตามไปเอาเรื่องกับพวกเขา”

“แล้วคุณ คิดว่าเมื่อไหร่ถึงจะกลับไปคารวะกับคุณท่านของพวกเราตระกูลฉู่?”

หลินอิ่งตอบกลับ:”ผมกำลังจะบอกเรื่องนี้กับตระกูลฉู่ให้ชัดเจนพอดีเลยครับ”

“ที่ตี้จิงยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ผมจะไม่ว่างสักพัก” หลินอิ่งพูดอย่างจริงใจ “หลังจากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว ผมจะนำเอาของขวัญมุ่งหน้าไปยังตระกูลฉู่ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ”

“ดังนั้น ขอให้พวกคุณพาฉู่ฉู่กลับไปยังเตียนหนานด้วย และฝากกล่าวทักทายกับคุณท่านฉู่แทนผมด้วย”

“อะไรนะ?คุณไม่ว่าง?” สีหน้าของฉู่หยุนซานเปลี่ยนไปอย่างมาก ใบหน้าเต็มด้วยความไม่พอใจ “หลินอิ่ง คุณหมายความว่ายังไง?คิดว่าตระกูลฉู่ของเราเป็นของเล่นหรือไง ?”

“คุณดึงดันยึดยาไปแล้ว พวกเราตระกูลฉู่ยังไม่ทันได้สะสางบัญชีกับคุณเลย นี่คุณว่าบรรลุเป้าแล้วจะเตะพวกเราทิ้งงั้นหรอ ?ไม่คิดจะไว้หน้าตระกูลฉู่เลยหรือ?”

หลินอิ่งยังคงนิ่ง พร้อมกับหยิบบัตรเครดิตสีเงินออกจากกระเป๋าเสื้อแขนของเขาแล้วพูด:”นี่คือของกำนัลจากหลินซื่อกรุ๊ปของผม ผมรับไว้เถอะ แล้วก็ไปหานิ่งซวนหรือหยูจื๋อเฉิงที่เมืองเทียนหลงด้วยนะครับ”

“ภายในเมืองเทียนหลง ผมได้เหลือที่แห่งหนึ่งให้ตระกูลฉู่เอาไว้ วันข้างหน้าใช้เป็นการเปิดธุรกิจยาในตี้จิง สามารถเข้าออกไปตามอำเภอใจ นี่คือของขวัญตอบแทนเล็กน้อยจากผมสำหรับความช่วยเหลือของตระกูลฉู่คราวที่แล้ว”

“นี่คุณคิดว่าตระกูลฉู่ของเราขาดเงินเหม็นเน่าจำนวนหรือไง ?” ฉู่หยุนซานพูดอย่างเย็นชา ใบหน้าแสดงถึงความไม่พอใจที่มากขึ้น “หลินอิ่ง คุณท่านบอกแล้วว่าให้คุณร่วมทางกับพวกเราไปยังเตียนหนาน ตอนนี้คุณกลับไม่ยอมไป แล้วเอาของแบบนี้มาเล่นกลับกลอกกับผมงั้นหรอ ? นี่คุณทำเรื่องแบบไหนกัน?”

หลินอิ่งจ้องมองฉู่หยุนซาน แล้วพูดอย่างเฉยชา:”สำหรับเรื่องนี้ ต้องขออภัยที่ไม่สามารถร่วมทางด้วย”

“แต่การเปิดเส้นทางสู่เมืองเทียนหลง ไม่ได้เป็นเพียงกองเงินเหม็นเน่าหรอกนะครับ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉู่หยุนซานก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางครุ่นคิด

อันที่จริง ถ้าหากตระกูลฉู่สามารถเข้ามาทำธุรกิจยาในเมืองเทียนหลง อย่างนั้นก็จะกลายเป็นการตีตลาดในตี้จิง ทั้งยังสามารถขยายผลกระทบต่อตระกูลฉู่ทางตอนเหนือของประเทศหลุงด้วย

และอีกอย่าง ขอบเขตอิทธิพลของเตียนหนานตระกูลฉู่ก็ได้ถูกจำกัดไว้ให้อยู่แค่เพียงทางตะวันออกเฉียงใต้และบริเวณมหาสมุทรทางใต้เท่านั้น

ถ้ากสามารถแทรกเข้าไปครอบครองพื้นที่ในเมืองเทียนหลง ถือเป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างมาก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท