ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 629 แล้วแกจะเสียใจ

บทที่ 629 แล้วแกจะเสียใจ

“แม่เฒ่าตระกูลหลิน?”หลินอิ่งมองไปยังหลินหวูเว่ยด้วยความสนใจ

ที่เขารู้จักตระกูลหลินแห่งลังยา ก็เพราะว่าเคยได้ยินชื่อเสียงของนายท่านใหญ่ตระกูลหลิน

ตอนยังเด็ก อาจารย์เคยพร่ำเคยสอนมาก่อน ในยุคปัจจุบันนี้ ยอดฝีมือที่สามารถเข้าตาของอาจารย์ได้ มีไม่กี่คน นายท่านใหญ่ตระกูลหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทุกคนต่างรู้ ว่านายท่านใหญ่ตระกูลหลินไม่เคยโผล่ออกมาเป็นสิบปีแล้ว

แม่เฒ่าตระกูลหลินที่หลินหวูเว่ยพูดถึง ก็น่าจะเป็นภรรยาของนายท่านใหญ่ตระกูลหลินแต่งงานด้วย

พูดตามตรง หลินอิ่งก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

ว่าตัวเองกับนายท่านใหญ่ตระกูลหลินที่โด่งดังไปทั่วจะมีความสัมพันธ์กัน

“ใช่!แม่เฒ่าเป็นคนให้ฉันมาหาแกเอง!”หลินหวูเว่ยพูดขึ้น หลังจากที่เห็นหลินอิ่งมีท่าทีสับสน ก็รีบพูดขึ้นต่อทันที

“หลินอิ่ง แม่เฒ่าเรียกชื่อของแก ส่งพวกเราลงเขามาหาแกเลยนะ แกจะไม่สนใจไม่แยแสพวกเราก็ได้ แต่แกจะไม่เห็นทวดของแกอยู่ในสายตาเลยอย่างนั้นเหรอ?”

“บางทีพวกเราอาจจะพูดตรงเกินไป แต่ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีต่อแกแน่นอน หลินอิ่ง แกต้องคิดให้ดี แม่เฒ่าเรียกแกกลับไปที่ตระกูลหลินแห่งลังยา นั่นก็คือเห็นถึงความสามารถของแก นี่เป็นโอกาสอันใหญ่หลวงของแก เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งของแกเลยนะ”

“แกอย่าเอาความโกรธแค่ชั่วขณะ มาทำให้เรื่องดีๆ ขนาดนี้กลายเป็นเรื่องหายนะ!แกก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน น่าจะรู้จักไตร่ตรองข้อดีและข้อเสียนะ?”

หลินหวูเว่ยเปลี่ยนจากท่าทีที่เย่อหยิ่งทะนงตัวก่อนหน้านี้ กลายเป็นพูดกับหลินอิ่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลท่าทีอ่อนโยน

เขาถูกหลินอิ่งทำให้หวาดกลัวไปแล้ว

ทำลายศิลปะการต่อสู้ของยอดฝีมือระดับโลกลงได้อย่างง่ายดาย โหดเหี้ยมขนาดนี้ ใครยังจะกล้าเย่อหยิ่งใส่อีก?

ยังไงเขาก็รับไม่ไหว สถานการณ์ที่ศิลปะการต่อสู้ถูกทำลายไป

ในตอนแรกหลินหวูเว่ยฟังคำสั่งลุงสาม ให้มาบังคับพาตัวของหลินอิ่งไป ก่อนที่หลินอิ่งจะเข้าไปในตระกูลหลินแห่งลังยา ให้ตัดไม้ข่มนามใช้อำนาจบารมีข่มขู่อย่างเต็มที่ จัดการขจัดความมุ่งมั่นและอำนาจบารมีของหลินอิ่งทิ้งไปซะ

ถึงขนาดที่ถ้าเป็นไปได้ ให้จัดการฮุบกิจการธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในตี้จิงของหลินอิ่งให้เกลี้ยง

แต่ สถานการณ์ในตอนนี้ ก่อนที่จะมาก็ไม่มีใครคิดถึงมาก่อน

พวกเขาสองคนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถข่มเหงหลินอิ่งได้แล้ว ขนาดชีวิตของตัวเองก็ยังเอาไม่รอดด้วยซ้ำ!

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเพ้อฝันที่อยากจะฮุบกิจการธุรกิจของหลินอิ่งเลย

“โอกาสอันยิ่งใหญ่?”หลินอิ่งยิ้มๆ มุมปากเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย้ยหยัน

ท่าทีที่เย่อหยิ่งก่อนหน้านี้แล้วตอนหลังเปลี่ยนมาให้เกียรติกันของหลินหวูเว่ยนี้ มันช่างน่าขำสิ้นดี

มาถึงขั้นนี้ ยังมาทำปากเก่งอีก นึกว่าพูดคำพูดนุ่มนวลพวกนี้แล้วจะสามารถหลีกเลี่ยงหายนะภัยพิบัติได้อย่างนั้นเหรอ?

ไม่ใช่ว่าเขามองความคิดของหลินหวูเว่ยไม่ออก

ถ้าพวกเขาเหล่านี้มีความจริงใจจริงๆ ล่ะก็ จะไม่มาทำร้ายตัวเอง และมาเสนอข้อเสนอสูงๆ จะเอาอุตสาหกรรมของตี้จิงของตัวเองแบบนี้แน่นอน

แน่นอนว่าหลินอิ่งก็สามารถเดาได้ว่า ตระกูลชั้นสูงชื่อดังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแบบตระกูลหลินแห่งลังยา สถานการณ์ภายในจะซับซ้อนมากขนาดไหน

ต่อให้แม่เฒ่าคนนั้นของตระกูลหลินจะมีความจริงใจที่เชิญตนเองกลับไปยังตระกูลหลินก็ตาม

แล้วคนอื่นๆ ของตระกูลหลินล่ะ? จะยอมให้เด็กข้างนอกกลับไปทีหลังอย่างนั้นเหรอ?

แม่เฒ่าตระกูลหลินออกคำสั่งมา แต่คนที่ปฏิบัติตามก็คงจะเป็นอีกสถานการณ์แล้วสินะ?

วิธีการแบบนี้ หลินอิ่งจะไม่รู้ได้ยังไง

“มันเป็นโอกาสอยู่แล้วแน่นอน! หลินอิ่ง ฉันจะบอกแกให้นะ ว่าแม่เฒ่ารู้สึกพอใจกับการแสดงออกของแกในโลกธรรมมากๆ ถึงขนาดที่เรียกตาของ

แกกลับไปยังตระกูลหลินเพราะว่าแกเลยด้วย”หลินหวูเว่ยรีบพูดขึ้นทันที”หรือว่าแกพอใจกับการที่เป็นผู้นำผู้มีอำนาจในโลกธรรม ไม่อยากจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในกลุ่มสันโดษอีกแล้ว?”

“แถมแกอายุก็ยังเด็ก แต่แตกฉานในบูโดอย่างลึกซึ้งขนาดนี้ ในอนาคต ขอแค่แกแสดงออกมาให้ดีๆ ตอนที่อยู่ตระกูลหลิน ก็จะสามารถได้รับการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ที่สูงและลึกขึ้นไปอีกได้แน่นอน!”

หลินหวูเว่ยพูดโน้มน้าว ความปรารถนาที่จะเอาตัวรอดแรงกล้ามากๆ

“ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหลินแห่งลังยา? เหอะ”หลินอิ่งส่ายหัว

คำพูดขนาดนี้ของหลินหวูเว่ย สำหรับคนอื่นแล้วจะต้องมีแรงดึงดูดอยู่ไม่น้อยแน่ๆ

ถึงยังไงศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหลินแห่งลังยา เป็นโอกาสที่คนรุ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วนต่างใฝ่ฝัน

แต่เขา ในฐานะทายาทของแก๊งมังกร พลังต่อสู้ สำเร็จทักษะวิชาเทพ ไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

“หลินอิ่ง แกอย่าใจร้อนหุนหันพลันแล่น!”หลินหวูเว่ยสีหน้าตึงเครียด พูดขึ้นต่อ”แกใจเย็นก่อนเถอะ เรื่องในวันนี้ เป็นความผิดของผู้อาวุโสแบบฉันเอง เดี๋ยววันหน้า ฉันจะจัดงานเลี้ยง เพื่อเป็นการขอโทษให้กับแกเอง!”

“แล้วก็ หลินอิ่ง ครั้งก่อนแกฆ่าเหอซานจินลูกศิษย์ของท่านเฉินเฟิงที่ตี้จิงใช่ไหม? ด้วยเหตุนี้ท่านเฉินเฟิงจึงมาที่ตระกูลหลินแห่งลังยาด้วยตัวเอง ตอนแรกคิดที่จะมาแก้แค้นแก แต่สุดท้าย ก็ถูกแม่เฒ่าพูดหยุดท่านเฉินเฟิงไว้ที่ชางโจว เรื่องนี้ ฉันก็ช่วยอ้อนวอนร้องขอให้แกเหมือนกันนะ!”

“ถ้าไม่ใช่ตระกูลหลินมาขวางรั้งให้แก ท่านเฉินเฟิงนั่นก็มาตามฆ่าแกถึงตี้จิงแล้ว แกก็น่าจะคิดได้ใช่ไหม ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่โชกเลือดขนาดไหน?”

“ไม่ว่าจะทั้งทางอารมณ์และเหตุผล ก็ช่วยไว้ชีวิตฉันสักครั้งเถอะ ครั้งหน้า ฉันจะจัดงานเลี้ยงขอโทษให้กับแกอย่างดีเลย”

ท่านเฉินเฟิงมองหลินอิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในยามคับขันก็คิดหาวิธีการดีๆ ออกมาได้อย่างฉับพลัน พูดอธิบายถึงส่วนได้ส่วนเสียออกมาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของหลินอิ่ง เขาช่วยวิเคราะห์จากมุมมองของหลินอิ่ง

ในเวลานี้ เขาลดตัวเองลงมาต่ำมากๆ ไม่กล้าเย่อหยิ่งทะนงตัวอะไรอีกแล้ว

หลังจากที่เห็นสถานการณ์เลวร้ายของหลินเจว๋ที่ศิลปะการต่อสู้ถูกทำลายไป หลินหวูเว่ยก็ขอร้องอ้อนวอนเขาแบบหน้าด้านๆ ต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้องอ้อนวอน ก็ต้องปกป้องศิลปะการต่อสู้ของตัวเองให้ได้

ถึงยังไงวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ตอนนี้ยอมจำนนไปก่อน พอเข้าไปในตระกูลหลินแห่งลังยาแล้ว มีอำนาจของลุงสามคอยค้ำไว้อยู่ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้ระบายความโกรธแค้นในวันนี้แน่นอน

“หลินหวูเว่ย วันนี้คุณพูดจาดี พูดจาไพเราะเสนาะหูมาก แต่ก็เลี่ยงหายนะไปไม่ได้อยู่ดี”

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา พูดออกมาอย่างเยือกเย็น

“ไม่ทำลายศิลปะการต่อสู้ของคุณ ตระกูลหลินของพวกคุณ ก็จะไม่รู้จักการวางตัวให้เหมาะสม”

พูดจบ หลินอิ่งก็เดินตรงเข้าไป เหยียบลงไปที่หน้าอกของหลินหวูเว่ยอย่างแรง

ปัง!

มีเสียงราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นมาทันที ดังสนั่นลั่นไปทั่ว

หลินหวูเว่ยรู้สึกไม่เต็มใจ เนื้อกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับเสียงของถั่วทอด ไม่ให้โอกาสหลินหวูเว่ยขัดขืนใดๆ

พื้นที่หลินหวูเว่ยนอนอยู่ ยุบลงไปในทันที เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ รอยพื้นดินแตกระแหงไปเป็นทาง

“อ๊ากๆๆ !”หลินหวูเว่ยร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากปาก สีหน้าดูดุร้ายบิดเบี้ยวถึงขีดสุด

หลินอิ่งเอาเท้ากลับมา มือไขว้หลังหันตัวไป ทิ้งไว้แค่เพียงหลินหวูเว่ยที่ร้องคำรามอยู่ที่พื้นอย่างบ้าคลั่ง

ในตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง จ้องเขม็งเงาหลังของหลินอิ่งด้วยแววตาซับซ้อนสารพัดอารมณ์ความรู้สึก ทั้งตื่นตกใจ ชั่วร้าย หวาดกลัว

เท้าหลินอิ่งเหยียบมาเมื่อตะกี้ กระดูกของหลินหวูเว่ยหัก เส้นลมปราณฉีกขาด ถูกทำลายศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีไปอย่างไม่เต็มใจ……

“หลินอิ่ง!แกกล้าทำแบบนี้!แก แกจะต้องเสียใจ!”

หลินหวูเว่ยตะคอกขู่ออกมาด้วยสีหน้าท่าทีที่บิดเบี้ยว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท