ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 613 หลินอิ่งปรากฏตัว

บทที่ 613 หลินอิ่งปรากฏตัว

“นี่มัน?สถานการณ์แบบนี้มันเกินไปแล้ว……”

“หรือว่าตระกูลนิ่งกับตระกูลจ้าวเตรียมจะก่อความวุ่นวายในการประชุมสุดยอดจริงๆ หน่ะ ?บ้าไปแล้วหรือเปล่า?”

“นี่ก็คงจะร้อนรนอยากจะพลิกเกม แต่กลับไม่ลองคิดซะก่อนว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎ ผลที่จะตามมา ……”

คราวนี้ผู้ร่วมประชุมทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่ไม่ดี พากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์

ถ้าหากว่านิ่งซวนกับจ้าวเฉิงเฉียนสร้างความก่อกวนในการประชุมสุดยอดเทียนหลงจริง ซึ่งต้องเกิดผลกระทบที่ใหญ่หลวงมากแน่นอน

และอย่างนั้นวันข้างหน้าสองตระกูลใหญ่ของพวกเขาสองคนที่อยู่ในตี้จิงก็คงจะสูญเสียความน่าเชื่อและไร้ตัวตน

เพราะคนที่ฝ่าฝืนกฎและข้อบังคับจะไม่เป็นที่ชื่นชอบเคารพสำหรับผู้อื่นโดยธรรมชาติ

นอกเสียจากว่าความสามารถที่แข็งแกร่งพอจะสามารถจัดการแก้ไขสถานการณ์ความวุ่นวายที่เคยเกิดขึ้น แบบนี้ถึงจะทำให้ผู้คนพอจะยอมรับได้บ้าง

แต่ทว่าที่ชัดเจนคือจ้าวเฉิงเฉียนกับนิ่งซวนมีเพียงความสามารถที่จะทำลายเกมนี้ลงได้ แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะสามารถจบทุกอย่างนี้ได้อย่างถูกต้อง

“เจ้าหนุ่มตระกูลนิ่ง เจ้าหนุ่มตระกูลจ้าว พวกคุณสองคนคิดดีแล้วหรือยัง?” สวีจิ่วหลิงหรี่ตาลงพร้อมพูดด้วยเสียงเย็นชา “พวกคุณคิดจะสร้างปัญหาที่นี่จริงหรือ?”

“พวกคุณหรือว่าเพียงแค่พึ่งพลังของพวกคุณสองคนก็สามารถเปลี่ยนผลสรุปของวันนี้ได้?คิดว่าผมจะไม่สามารถป้องกันการกระทำนี้ของพวกคุณได้งั้นหรอ?”

สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ ถือไม้เท้าหัวมังกรพร้อมหรี่ตาลง

โดยที่ด้านหลังของพวกเขามีกลุ่มชายสวมชุดสูทยืนทำหน้าเคร่งขรึมเย็นชาอยู่เข้าแถวอยู่บนแท่นพิธี รวมทั้งยังมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดเครื่องแบบประดับดาวสามดวงอีกจำนวนหนึ่งยืนด้วยสีหน้าที่สุขุม ทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูยิ่งใหญ่อย่างมาก

นิ่งซวนขมวดคิ้วแน่นหน้าผากมีเหงื่อไหลออกมา

เห็นได้ชัดเลยว่า ตาแก่สวีจิ่วหลิงคนนี้ได้มีการวางแผนทั้งหมดนี้ไว้อย่างดีแล้ว และเพื่อที่จะป้องกันการทำลายเกมนี้จึงได้เรียกให้คนของเขาเข้ามา

ตอนนี้ ในใจของนิ่งซวนเกิดความกดดันที่ค่อนข้างหนัก

ในสถานการณ์การประชุมสุดยอดเทียนหลงแบบนี้ การที่จะทำล้มโต๊ะ จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากเลยทีเดียว หากทำผิดพลาดก็อาจจะกลายเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจจะกู้คืนได้

ถ้าหากว่าคนหนุนหลังของเขาไม่ใช่หลินอิ่ง นิ่งซวนก็คงจะไม่มีความกล้าแบบนี้

ซึ่งเขาเองก็ถูกบีบคั้นจนถึงทางตันแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงจำต้องกัดฟันสู้เท่านั้น รอจนกว่าหลินอิ่งจะเดินทางมาช่วย

สายตาของจ้าวเฉิงเฉียนประกายแสงอันเยือกเย็นออกมาพลางกวาดสายตาไปยังกลุ่มทหารลับของตระกูลสวี พร้อมหัวเราะเยาะออกมา

“สวีจิ่วหลิง คุณพูดเกินไปแล้ว อะไรที่บอกว่าพวกเราทำผิดกฎกัน ?การเสนอโครงการของฝั่งคุณ ความจริงยังไม่ได้รับการเห็นด้วยจากทั้งเหล่าตัวแทนผู้บริหารเลยด้วยซ้ำ เป็นคุณต่างหากที่ทำผิดกฎก่อน!” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ถ้าหากวันนี้ปล่อยให้คุณผ่านการเสนอโครงการไปตามอำเภอใจแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราเหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตี้จิงอีกแล้ว !”

“ผมยังคงยืนยันคำเดิม ก่อนที่คุณชายอิ่งจะมาถึงงานประชุม ใครก็ไม่สามารถออกจากประตูนี้ไป !” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

“หากอยากจะไปก็ได้ แต่โครงการของพวกคุณตระกูลสวีจะถือว่าเป็นโมฆะ!”

“หึ หลักแหลมดีนี่!” สวีจิ่วหลิงพ่นเสียงเย้ยหยันออกมาก่อนจะพูดต่ออย่างใจเย็น “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกคุณไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ยังคิดจะมาใส่ความผมอีกงั้นหรอ ?”

“เจ้าเด็กตระกูลจ้าวอย่างคุณอย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้เหตุผลตรงนี้ !” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสายตาที่เคืองเล็กน้อย “ถ้าหากยังจะกล้าที่จะขัดขวางอีก ผมจะลากพวกคุณออกไปซะ !อย่าคิดนะว่าผมจะไม่กล้าแตะต้องพวกคุณ”

“แล้วก็ เจ้าเด็กตระกูลนิ่งและตระกูลจ้าว วันนี้พวกคุณมาคอยโห่ร้องสนับสนุนหลินอิ่ง วันข้างหน้าจะต้องพบกับหายนะแน่ !”

สวีจิ่วหลิงกล่าวคำข่มขู่นี้ออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับเผียวจินฮุน

เผียวจินฮุนส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับโบกมือ ทันใดนั้นเหล่าผู้คุ้มกันชั้นยอดของชีซิงกรุ๊ปก็วิ่งกรูลงมาจากบันได เข้าไปในงานประชุมทีละคนๆ มุ่งตรงไปล้อมโต๊ะเจรจาเอาไว้

“ทุกท่าน ตอนนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าตระกูลนิ่งและ ตระกูลจ้าว รวมทั้งฝั่งหลินซื่อกรุ๊ปของตระกูลฉีต่างก็ฝ่าฝืนขั้นตอนของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง ทั้งยังไม่เห็นทุกคนอยู่ในสายตาอีก”

ในขณะเดียวกัน สวีไป๋เห้อก็เริ่มพูดกระตุ้นขึ้นมาเหมือนกัน

“ตอนนี้ทุกท่านต่างได้มีการลงนามแล้ว ผลสรุปสุดท้ายของการประชุมสุดยอดเทียนหลงและโครงการของเมืองเทียนหลง ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกท่าน ถ้าหากปล่อยให้พวกเขาขัดขวางก็เทียบเท่ากับเป็นการตัดหนทางแห่งความมั่งคั่งของทุกท่านด้วย !”

“เรื่องแบบนี้ พวกเรา ตระกูลสวีต่อให้จะยอมรับได้ แต่ทุกท่านยอมรับได้งั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว!นี่เป็นการไม่ให้ความสำคัญกับพวกเราเลย!”

“ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยชัดๆ !”

เมื่อถูกการกระตุ้นของสวีไป๋เห้อ ตัวแทนหลายคนที่อยู่บนที่นั่งก็ลุกขึ้นมา

“คุณจ้าว คุณนิ่ง ผมอาจจะไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ประเทศหลุงของพวกคุณ แต่ในการประชุมสุดยอดของหลักสากล ล้วนต้องผ่านการเจรจาในการแก้ไขปัญหา ในการประชุมสุดยอดระดับนี้ ทำไมพวกคุณถึงต้องใช้กำลังในการแก้ไขปัญหาด้วย ?” ชายต่างชาติผิวขาวสวมสูทสีดำคนหนึ่งลุกขึ้นยืนกล่าวโทษด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

“โอ้ ช่างเป็นสถานการณ์ที่แย่มากๆ สุภาพบุรุษทั้งสองท่าน พวกคุณก็นับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศหลุง จะมาใช้วิธีการสุดโต่งแบบนี้มาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?” บริเวณที่นั่งประชุมมีหญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวต่อว่า “พวกเราโซโลวมีกรุ๊ป จะบันทึกองค์กรของทั้งสองไว้ในบัญชีดำการร่วมมือทางธุรกิจ เพราะแบบนี้ถือว่าทำกันเกินไปแล้ว !”

“ใช่แล้ว พวกเราเองก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน การสร้างผลกระทบต่อโอกาสในการก้าวหน้าของทุกคน มีแต่จะทำให้สองตระกูลใหญ่อย่างพวกคุณสูญเสียความน่าเชื่อถือในตี้จิงเท่านั้น !ผมแนะนำว่าพวกคุณหยุดดื้อดึงต่อไปสักที บนโต๊ะเจรจาพวกคุณพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว” ซือหม่าเฟยวู่ยืนขึ้นและพูดด้วยท่าทางขี้เล่น

เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อว่า ทำให้ภายในงานเกิดความโกลาหลขึ้นมา คนมีชื่อเสียงจำนวนมากต่างลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับแสดงออกถึงความคิดเห็นของตนเอง

เมื่อเห็นว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนและนิ่งซวนต่างก็เขียวปั๊ด

“เหอะๆ พวกคุณเห็นแล้วหรือยัง?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าสะใจ “การที่พวกเราตระกูลสวีได้ดูแลเมืองเทียนหลง นั่นเป็นเพราะว่าได้รับความไว้วางใจ และการสนับสนุนจากทุกคน!พวกคุณกำลังทำการต่อต้าน!ซึ่งถือเป็นการรนหาที่ตายเอง!”

“แม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังเข้าใจมารยาทและกฎเกณฑ์ของประเทศหลุง แต่พวกคุณสองคนในฐานะตัวแทนผู้บริหารของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงทั้งยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง กลับมาก่อความวุ่นวายในงานแบบนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะใส่หรือไงกัน ?”

สวีไป๋เห้อพูดอย่างติดตลก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ

“หรือว่าพวกคุณยังคิดจะรอให้หลินอิ่งมาที่นี่?อย่าฝันไปเลย หลินอิ่งคนนั้นจบเห่ไปแล้ว”

“พอเถอะ” สวีจิ่วหลิงชำเลืองนิ่งซวนพวกเขาสองคน พร้อมกับพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ประธานเผียว คุณสั่งให้คนจัดการเก็บกวาดสถานที่เถอะ แล้วก็ให้คนของคุณไปบอกให้นักข่าวที่อยู่ด้านนอกตึกเข้ามาได้แล้ว พวกเราจะได้แจ้งผลสรุปการประชุมให้กับสาธารณชน”

“เตรียมเลิกการประชุม”

หลังจากที่สวีจิ่วหลิงออกคำสั่งเรียบร้อย เขาก็ค่อยๆ พยุงไม้เท้าลุกขึ้นยืนอย่างผู้ชนะ

ปี๊บ!!ปี๊บ!!

แต่ว่าขณะนั้นเองทางด้านนอกตึกก็มีเสียงแตรรถอันแหลมสูงดังแทรกเข้ามา

ผู้คนที่อยู่ภายในงานต่างก็แสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“นี่มัน?ออกไปดูข้างนอกสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” สีหน้าของสวีจิ่วหลิงก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะรีบสั่งให้คนออกไปตรวจสอบสถานการณ์

ตอนนี้ ด้านนอกอาคารเทียนหลง

บนบริเวณถนนอันกว้างใหญ่ มีรถถังทหารสีเขียวแล่นเข้ามาตามทาง ตามหลังมาด้วยรถออฟโรดสีเขียวอีกหลายคัน และตรงกลางแถวนั้นมีรถออดี้สีดำแล่นเข้ามาด้วย

กัปตันสวมชุดเครื่องแบบสีดำเคร่งขรึม พร้อมดาวประดับยศตำแหน่งบนไหล่

หลังจากที่เขาเปิดประตูออก หลินอิ่งที่มีสีหน้าเรียบเฉยก็เดินลงมา แล้วมุ่งหน้าเข้าไปยังอาคารเทียนหลง

เหล่าบอดี้การ์ดในชุดสูทที่กำลังดูแลอยู่ด้านนอกอาคาร ต่างก็แสดงสีหน้าที่ตกใจออกมา ก่อนจะไม่รู้ตัวพร้อมตัวกันแหวกทางให้เขาเข้าไปอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท