ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 617 ตระกูลสวีถูกลบทิ้ง

บทที่ 617 ตระกูลสวีถูกลบทิ้ง

ขณะเดียวกัน ศพของสวีจิ่วหลิง ก็ถูกหามออกไปโดยทหารลับของตระกูลสวีที่หลงเหลืออยู่

ทุกคนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พลางในใจก็เกิดความสลดใจขึ้นมา พร้อมความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

นี่ก็คือคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง มหาอำนาจหลินอิ่ง !

ในใจของพวกเขาต่างรู้ดีว่าในวันข้างหน้า ตระกูลสวีจะต้องถูกลบออกจากตี้จิงแน่นอน ……

การจัดระเบียบใหม่ของตี้จิงครั้งนี้ หลินอิ่งถือเป็นผู้จัดเระเบียบที่ทรงอำนาจที่สุด

และเกรงว่าในอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าหากไม่เกิดเหตุอะไร ตี้จิงก็คงจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่แข่งกับหลินอิ่งได้เลย

การประชุมสุดยอดเทียนหลงครังนี้ ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหลินอิ่ง ผู้มีตำแหน่งเป็นราชาแห่งตี้จิง

เพียงไม่นาน กลุ่มผู้จัดการประชุมก็เริ่มการดำเนินการ เมื่อทุกคนต่างลงนามและรับมอบเอกสารสัญญา พร้อมกับยืนยันทัศนคติแล้ว ก็เหลือเพียงแค่กลับไปเพื่อรอการเริ่มดำเนินการเจรจาธุรกิจเท่านั้น

คุณชายโหมและแอนนา นั่งอยู่ในมุมอับมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน

“คุณแอนนา ไม่แปลกเลยที่ตอนนั้นหลินอิ่งจะไม่สนใจความช่วยเหลือจากพวกเราเลย ……” ดวงตาของคุณชายโหมส่องประกายออกมา พร้อมกับพูดอย่างเฉื่อยชา “ฐานะบารมีของตระกูลโครเมียร์เรา สำหรับเขาแล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งการช่วยเหลือจากพวกเราเพื่อปราบปรามการปิดกั้นจากกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างชาติเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เขาคนเดียวก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างราบคาบเหมือนกับการประชุมสุดยอดเทียนหลงแล้ว”

“ใช่แล้วค่ะ ความอำนาจและความทักษะสามารถของคุณหลิน เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ภายนอกที่พวกเราเห็นยังแข็งแกร่งกว่านั้นไปหลายเท่าเลยทีเดียว” แอนนาพูดด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ดวงตาคู่สวยประกายแสงวิบวับออกมา

ส่วนควินสันที่นั่งอยู่ข้าง ก็ลุกลี้ลุกลนไม่สงบ ใบหน้าไม่สู้ดีมากนัก

แอนนาชำเลืองไปมองลูกน้องชายคนนี้แล้วพูดอย่างเยาะเย้ย :”ควินสัน ตอนนี้ นายยังคิดว่าคุณหลินเป็นแค่คนที่มีดีแค่เปลือกอยู่หรือเปล่า?”

“ผม……” ควินสันแสดงสีหน้าเขินอาย พูดอย่างอ้ำอึ้ง

การกระทำที่ทรงอำนาจของหลินอิ่งนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการตบหน้าของเขาอย่างจัง

แต่มันกลับทำให้เขานั้นแทบอยากจะซุดแผ่นดินหนีไปไกลๆ ซะ

หลินอิ่งที่ถูกเขาดูถูก กลับกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ มีพลังอำนาจเบ็ดเสร็จในการพลิกผันสิ่งต่างๆ

“ตามที่ตกลงกันไว้ จากนี้จงหุบปากเน่าๆ ของนายไว้ซะ แล้วอย่ามาพูดใส่ร้ายคุณหลินต่อหน้าฉันอีก” สายตาของแอนนาเต็มไปด้วยชัยชนะ พร้อมพูดสั่งสอน

“ผมรู้แล้วครับ พี่แอนนา” ควินสันพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก “จริงด้วยสิ พี่แอนนา พี่ช่วยพูดเกี่ยวกับผมในทางที่ดีกับต่อหน้าคุณหลินหน่อยนะ ผมไม่อยากถูกเขาเกลียด ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป”

ควินสันรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ ต้องขอบคุณที่คุณชายโหมห้ามเขาเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาแอบทำอะไรตามอำเภอใจ เพื่อไปให้ความร่วมมือในการต่อต้านหลินอิ่งกับตระกูลสวี

ไม่อย่างนั้นวันนี้เขาอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะถูกลากตัวออกไป แล้วก็ศพของเขา ……

“ควินสัน คุณยังต้องฝึกฝนเรียนรู้อีกมาก เพราะความคิดของคุณยังอ่อนหัดเกินไป” คุณชายโหมกล่าวสั่งสอน

เมื่อพูดไป แววตาของคุณชายโหมล่องลอยไป พร้อมกับพูดกับตัวเอง:”ผมจะต้องรายงานเรื่องทุกอย่างที่เกิดในวันนี้ให้กับท่านเอิร์ล คุณแอนนา บางทีการจะพุ่งเป้าไปยัง

หลินอิ่ง คุณอาจจะต้องใช้กลยุทธ์ที่มากกว่านี้”

สีหน้าของแอนนาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในสมองปรากฏภาพร่างของชายคนนั้นขึ้นมา แล้วใบหน้าก็แดงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

……

หนึ่งวันถัดมา

องค์กรตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงแทบจะระเบิด

ข่าวจำนวนมากแพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศ สร้างความสนใจให้กับผู้คนนับไม่ถ้าน

คุณท่านตระกูลสวี สวีจิ่วหลิงเสียชีวิตภายในการประชุมสุดยอด

ซึ่งเป็นฝีมือของคุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉี ที่กดดันจนทำให้ชายชราผู้ทรงเกียรติคนนี้ต้องตายไป

และเหตุการณ์นี้ทำให้แวดวงเหล่าผ็สูงศักดิ์ของตี้จิงทุกคนต่างก็ได้รับความหวาดกลัวจากหลินอิ่ง

ส่วนเมืองเทียนหลงก็ได้ตกไปอยู่ในการควบคุมของหลินอิ่งแล้วเรียบร้อย ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากต่างจัดเตรียมของขวัญไปมอบให้แก่หลินอิ่งผ่านนิ่งซวนผู้เป็นตัวแทนขององค์กรตระกูลใหญ่

เพื่อแสดงออกถึงเจตจำนงในหารศิโรราบ และเอาใจหลินอิ่ง

ส่วนอีกเรื่องที่ว่าบุคคลระดับสูงของตระกูลสวี รวมทั้งเผียวจินฮุนประธานของชีซิงกรุ๊ป ถูกจับเข้าคุกกองพิเศษเว่ยอัยฝ่ายทหาร

มีสาเหตุมาจากส่องใด ก็ไม่ได้มีการประกาศต่อสาธารณชน

แต่ว่าทุกคนก็พอจะคิดได้ การกลุ่มคนที่ทรงอำนาจขนาดนี้ถูกจับเข้าคุก แถมยังเป็นคุกของกองพิเศษเว่ยอันอีก นี่ต้องจะไปทำผิดอย่างมหันต์ขนาดไหน?

ทุกคนต่างสามารถรับรู้ถึงอำนาจสวรรค์ที่ยากจะคาดเดาได้

การทำผิดต่อหลินอิ่ง ก็เทียบเท่ากัลทำผิดต่อสวรรค์!

ส่วนคนที่เหลือของตระกูลสวี เวลาเพียงค่ำคืนเดียวต่างก็หายสาบสูญจากตี้จิงไปทันที

ในขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของตระกูลสวี ก็มีการลือกันว่าตกไปอยู่ในนามของหลินอิ่งอย่างไร้เงื่อนไข นี้อาจเป็นหนทางเอาตัวรอดของตระกูลสวีที่เหลืออยู่

เวลานี้ ณ จงเทียนซิงเฉิง อาคารดวงดาว ภายในห้องทำงานประธาน

หลินอิ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะมีชาดำร้อนถ้วยหนึ่งที่ไอร้อนกำลังโพยพุ่งออกมาตั้งอยู่บนโต๊ะ

เขาลองชิมชาถ้วยนั้นอย่างพิถีพิถัน

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังแทรกเข้ามาจากด้านนอก

“เข้ามาได้”

หยูจื๋อเฉิงเดินเข้ามา

“ท่านอิ่งครับ เจอตัวถูซานกับซื่อไท่แล้ว โดยถูกส่งตัวมาโดยทหารลับของตระกูลสวีครับ” หยูจื๋อเฉิงพูดรายงานอย่างนอบน้อม

หลินอิ่งพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่ง:”ให้พวกเขาสองคนพักรักษาตัวก่อนสักพัก แล้วค่อยมาจัดการเรื่องนี้”

ก่อนหน้านี้ที่มุซาชิ จูโตะมาลอบฆ่าตัวเขา ซึ่งจากที่คิดแล้วคงต้องเป็นเพราะว่าการเคลื่อนไหวของเขาได้ถูกเปิดเผยแน่นอน และสุดท้ายถึงค่อยตรวจพบว่าซื่อไท่กับถูซานถูกจับตัวไป และข้อมูลความลับก็ถูกคนต้าเหอเค้นจนได้ไป

เมื่อบุคคลหลักของตระกูลสวี บ้างก็ตายไป บ้างก็ถูกจับเข้าคุก คนที่เหลือยังถือว่าพอมีความสำนึกอยู่บ้าง ที่รู้จักนำตัวพวกเขาส่งกลับมา

“ท่านอิ่ง คนตระกูลสวี เมื่อวานนี้ได้โอนทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลมาให้กับผม จากนั้นคนของพวกเขาก็ออกจากตี้จิงไปตอนดึก มุ่งหน้าไปยังต่างประเทศ ซึ่งผมจะอยู่ที่ทะเลกุหลาบของบริเวณทะเลหลวงคอยจับตาดูพวกเขา” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าสุขุม “หรือว่าจะให้ออกคำสั่งออกไปให้จัดการกับตระกูลสวีทุกคนที่อยู่ทะเลหลวงดีครับ?”

“ผมจะได้จัดเตรียมส่งตระกูลสวีทุกคนไปขุดเหมืองที่แอฟริกา ถ้าหากว่าท่านอิ่งต้องการถอนรากถอนโคน ก็ขอเพียงออกคำสั่งได้เลยครับ”

หลินอิ่งวางถ้วยชาในมือลงพร้อมตอบกลับอย่างเฉยชา:”ไว้ชีวิตพวกเขาไปก่อน ตอนนี้ตระกูลสวีได้ถูกตัดออกจากตี้จิงแล้ว ไม่มีอำนาจใดๆ แล้ว ถ้าเกิดว่าพวกเขายังมีความคิดที่จะทำอะไรไม่ดีอีก คุณก็ไปหาเหตุผลบางอย่างมาแล้วระเบิดพวกเขาทิ้งซะ”

บุคคลหลักของตระกูลสวี สวีฉางเฟิงและลูกชาย รวมทั้งสวีถันโจวสองพ่อลูกต่างก็ถูกจัดการอย่างลับๆ ส่วนคนที่เหลือซึ่งเป็นคนธรรมดาในตระกูลสวีล้วนถูกหยูจื๋อเฉิงควบคุมอยู่ในบริษัทเหมืองแร่ที่แอฟริกา

ด้วยความที่หลินอิ่งไม่ชื่นชอบการฆ่าฟัน คนกลุ่มนี้จึงถูกปล่อยปละละเลยไปเสียอย่างนั้น

“ครับ น้อมรับคำสั่งครับ” หยูจื๋อเฉิงกล่าวรับอย่างเคารพ “ใช่แล้ว ท่านอิ่ง ยังมีหลายเรื่องที่ต้องรายงานกับท่านด้วย”

“เมืองเทียนหลงกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนตระกูลซือหม่าแห่งเจียงโจว พวกเรายังไม่ทันที่จะได้ลงมือใดๆ ก็มีตระกูลอื่นที่หวังจะเอาใจคุณจึงได้ชิงตัดหน้าลงมือฆ่าสองพ่อลูกซือหม่าเฟยวู่แล้วครับ” หยูจื๋อเฉิงพูดรายงาน

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เพราะเรื่องนี้เขาได้คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

“ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือวันนี้คุณฉู่ฉู่และคุณแอนนาคนนั้นต่างก็มาที่จงเทียนซิงเฉิงเพื่อพูดคุยกับคุณครับ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ทางผู้ใหญ่ของคุณผู้หญิงทั้งสองคนนี้ก็มาด้วย ผมไม่กล้าตัดสินใจ เลยแยกทั้งสองคนให้ไปพักอยู่ในห้องรับรองคนละห้องแล้วครับ”

“คุณว่าควรจะจัดการกับทั้งสองอย่างไรดีครับ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท