ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 624 เรียกน้า?

บทที่ 624 เรียกน้า?

ห้านาที

หลินอิ่งลงจากลิฟต์ มาถึงยังทางเข้าของอาคารเทียนหลง

บริเวณทางเข้าออก มีชายหนุ่มชุดสูทนอนระเนระนาดกันเต็มไปหมด ถูกอัดจนเขียวช้ำไปทั้งตัว

ส่วนหยูจื๋อเฉิง ก็ถูกคนทิ้งไว้ที่พื้น ที่ใบหน้ามีรอยมือห้านิ้วประทับไว้ชัดเจน

พอมองเห็นฉากนี้ ใบหน้าที่นิ่งเฉยของหลินอิ่ง ก็เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น

หยูจื๋อเฉิงกับเหล่าผู้เก่งกาจที่เฝ้าประตูทางเข้าอาคาร ศิลปะการต่อสู้ไม่ธรรมดา สำหรับคนธรรมดาแล้วมีระดับถึงขนาดที่รับมือกับคนสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียว

แต่กลับถูกซัดจนล้มกองอยู่กับพื้นได้ง่ายดายขนาดนี้?

ใครกัน ที่บ้าระห่ำกล้ามาอาละวาดเล่นงานคนของตัวเองถึงถิ่นของตัวเองแบบนี้

“ท่านอิ่ง ท่านมาแล้ว……”หยูจื๋อเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าละอาย”ขอโทษครับ ผมไม่สามารถหยุดรั้งพวกเขาเอาไว้ได้”

“คนพวกนี้ มาถึงก็ลงมือเลย จะเจอท่านให้ได้ ไม่สนกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น……”

“ฉันรู้แล้ว นายถอยไปก่อนเถอะ”หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบตามองไปที่โซฟาในห้องโถงรับแขก

บนโซฟาหนังแท้ มีชายวัยกลางคนสวมชุดราชวงศ์ถังสีเขียวขี้ม้าคนหนึ่ง กำลังพิงอยู่ด้วยท่าทางยโสโอหัง กางสองขาออก ท่าทางเย่อหยิ่ง

ข้างกายของเขา ยังมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคนอยู่ด้วย

“พวกคุณคือใคร?”หลินอิ่งมองพวกเขา พูดถามขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ชายวัยกลางคนที่ชุดราชวงศ์ถังสีเขียวขี้ม้า ชำเลืองมองสำรวจหลินอิ่งเล็กน้อย จากหัวจรดเท้า

รูปร่างหน้าตาของเขาดูธรรมดาทั่วไปไม่ผิดแปลกอะไร แต่สองตาคู่นั้น แฝงไปด้วยความดุร้ายโหดเหี้ยมผิดปกติ

ทั้งตัวของเขา ให้ความรู้สึกเหมือนพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ

“แกคือหลินอิ่ง?”

“ดูสภาพแล้ว ก็ไม่เท่าไร ดูท่าทางอ่อนแอ สภาพเหมือนเป็นโรค”ชายวัยกลางคนหันสายตากลับมา พูดขึ้นอย่างไม่แยแสสนใจ”ฉันชื่อหลินเจว๋ จากความอาวุโสในตระกูลแล้ว แกควรจะเรียกฉันว่าน้า”

“หลินเจว๋?”หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

“พวกคุณ มาจากไหน?”

“ตระกูลหลินแห่งลังยา เคยได้ยินไหม? หรือว่าแม่ของแกไม่บอกเคยบอกแกเลยหรือไง?”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยความสนใจ

“ไม่เคยได้ยิน”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ไม่ว่าพวกคุณจะมาจากไหน การที่มาก่อเรื่องลงมือกับลูกน้องของผมถึงที่อย่างเลินเล่อแบบนี้ วันนี้ จะต้องชดใช้”

“บังอาจ!หลินอิ่งแกรู้จักที่ต่ำที่สูง รู้กฎข้อบังคับบ้างไหม? ลุงหลินเจว๋อยู่ตรงหน้าแบบนี้ แกยังกล้าพูดอย่างหยิ่งยโสขนาดนี้อยู่เหรอ?”

“ไม่เรียก น้า สักคำ? แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ไม่เคยได้ยินตระกูลหลินแห่งลังยา?”

ตอนนี้ ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ หลินเจว๋ ก็เปิดปากพูดด่าหลินอิ่งทันที ท่าทางน่าเกรงขามของผู้อาวุโส

“หลินอิ่ง พวกเราลงเขามาหาแกถึงตี้จิง นั่นก็เท่ากับว่าไว้หน้าแกมากแล้ว แกอย่ามาถือตัวคิดว่าตัวเองถูกต้องหน่อยเลย”หลินเจว๋ท่าทางหยิ่งทะนง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ฉันให้เวลาแกลงมาหนึ่งนาที แต่ห้านาทีแล้วแกเพิ่งจะมาถึง แถมยังมาอวดเบ่งหยิ่งผยองต่อหน้าคนที่เป็นน้าแบบฉันอีก? ไหนพูดซิว่านี่มันคือท่าทีแบบไหน?”

หลินอิ่งสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน ส่ายหัว

“ผมให้เวลาพวกคุณสามสิบวินาที เล่าประวัติของพวกคุณออกมาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง”

“แล้วทำไมต้องลงไม้ลงมือกับคนอื่นด้วย?”

“ถ้าตอบไม่ได้ พวกคุณก็จะเหลือมือแค่ข้างเดียว”

พอคำพูดที่เย็นชาของหลินอิ่งจบลง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเย็นยะเยือกขึ้นมา

ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างกายหลินเจว๋ ล้วนแต่รู้สึกถึงรังสีที่แผ่ซ่านออกมาจากหลินอิ่งในตอนนี้ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่

“เหอะๆ “หลินเจว๋สบถหึออกสองทีอย่างเย้ยหยัน หรี่ตาลงมองหลินอิ่ง” ดูมีสไตล์อยู่นิดหน่อยนี่ ท่าทางแบบนี้ ตัวแกเองก็น่าจะมีพลังระดับโลกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ประเมินแกต่ำไป แถมยังมองว่าแกเป็นพวกที่พอได้แต่จริงๆ แล้วไม่มีความสามารถอะไรเลยซะอีก”

“ในเมื่อแกมีพลังความแข็งแกร่งนี้ ก็มีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องพวกนี้ “หลินเจว๋ท่าทีเย่อหยิ่งทะนงตัว พูดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน”ฉันบอกแกก็ได้ พวกเรามาจากตระกูลหลินแห่งลังยา จากภูเขาลังยาชางโจว”

“แม่ของแกหลินซูชิง ในตระกูลหลิน พูดกันตามลำดับอาวุโสของตระกูลแล้ว ก็คือพี่หกของฉัน”

“ที่มาหาแกที่ตี้จิงในครั้งนี้ เพราะแม่เฒ่ามีคำสั่ง เรียกแกกลับไปยังตระกูลหลิน”

พูดจบ หลินเจว๋ก็มองหลินอิ่งด้วยความสนใจ ราวกับว่าอยากที่จะมองปฏิกิริยาตอบสนองและท่าทีของหลินอิ่งว่าเป็นยังไง

พอได้ยินแบบนั้น แววตาของหลินอิงก็ประหลาดใจ มองหลินเจว๋อย่างลึกซึ้ง

หลินซูชิง แห่งตระกูลหลินแห่งลังยา

คนนี้ รู้ชื่อสกุลแม่ของตังเองได้ยังไง

แม่เสียไปตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ชีวิตก็ไม่มีเพื่อนที่สนิทอะไรเลย

ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่มาจากกลุ่มสันโดษ แล้วยังเรียกตัวเองว่าตระกูลหลินแห่งลังยา?

แถมยังบอกตัวเองเป็นพี่น้องของแม้ตัวเองอีก? เรียกตัวเองว่าน้า?

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

หลินอิ่งครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็รู้สึกสับสนมึนงง

“คุณหมายความว่ายังไงกันแน่?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม”คุณจะพิสูจน์ยังไง ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับแม่ของผม? แล้วมีหลักฐานอะไร?”

ตระกูลหลินแห่งลังยา

ไม่ใช่ว่าหลินอิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน

ในกลุ่มสันโดษ ตระกูลหลินแห่งลังยามีชื่อเสียงอย่างมาก ชื่อเสียงแค่ด้อยกว่าสามอำนาจใหญ่สูงสุดเท่านั้น ถือว่าเป็นอำนาจสูงสุดของสันโดษ อำนาจหนึ่งเลย

แต่ว่า เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลหลินแห่งลังยามาก่อน

แล้วก็ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าตัวเองจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลนี้

“ง่ายมาก แกกลับไปตระกูลหลินกับพวกเรา แม่เฒ่าจะบอกแกทั้งหมดเอง พิสูจน์ง่ายมากๆ “หลินเจว๋ค่อยๆ พูดขึ้น”ดูท่า แม่ของแกหลินซูชิง ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตระกูลหลินกับแกมาก่อนสินะ?”

“ในตอนนั้นแม่ของแกละเลยไม่สนใจการต่อต้านของตระกูล ยอมตัดความสัมพันธ์กับตระกูล ไปแต่งงานกับพ่อของแกฉีเหอถู”

“สุดท้ายจบลงยังไง แกก็รู้”

“ตอนนี้ แม่เฒ่าเห็นว่าแกพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ประสบความสำเร็จนิดหน่อยทางโลกธรรม แล้วก็สงสารแม่ของแก กะที่จะให้แกกลับคืนสู่ตระกูลหลินไปหาบรรพบุรุษ”

“กลับไปหาบรรพบุรุษ?”หลินอิ่งส่ายหัว รู้สึกว่าตลกสิ้นดี

ท่าทีของพวกคนตระกูลหลิน คล้ายกับท่าทีที่เย่อหยิ่งทะนงตัวของตระกูลสันโดษ

มองสถานภาพและตำแหน่งของพวกเขาสูงเกินไป

“ทำไม? หรือว่าแกรู้สึกไม่ดีใจ? แกรู้ไหม ว่าการที่ทำให้ตระกูลหลินรู้จักแกได้ นี่ถือว่าเป็นบุญเก่าที่แกทำมาจากชาติที่แล้ว!”หลินเจว๋พูดขึ้นอย่างหยิ่งยโส”แกนึกว่าแกมีกิจการพื้นฐานใหญ่โตอย่างสง่าผ่าเผยทางโลกธรรมแล้ว แต่ต่อหน้าตระกูลหลิน ไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ”

“แกอย่านึกว่าได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในตี้จิงแล้ว จะสามารถเย่อหยิ่งทะนงตัวได้นะ ความสำเร็จที่น่าสงสารเล็กๆ น้อยๆ นั้นของแก ในสายตาของพวกเราก็แค่เด็กที่เล่นพ่อแม่ลูกเท่านั้น ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ ”

หลินเจว๋ท่าทางเย่อหยิ่งทะนงตัว ชี้นิ้วพร้อมกับพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ฉันยังต้องบอกหลานชายแบบแกว่า อุตสาหกรรมในตี้จิงของแก ถูกตระกูลรับไว้แล้ว แกรีบจัดเตรียมในทันที จัดการเคลียร์ตี้จิงเมืองเทียนหลงแล้วก็อุตสาหกรรมโลกธรรมที่อยู่ภายใต้ชื่อของแก ส่งมอบมาให้ฉันทั้งหมด”

“นี่เป็นเงื่อนไขของการกลับคืนสู่ตระกูลหลินของแก แกควรจะเสียสละและตอบแทนตระกูลหลิน”

พอได้ฟังจากน้ำเสียงมั่นใจที่ว่าต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว หลินอิ่งก็หลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“พวกคุณมาขายขำหรือไง?”หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน”คุณคิดว่า ตระกูลหลินแห่งลังยาสามารถข่มขู่ผมได้เหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท