ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 620 ไปเรียกตัวเจ้าเด็กนั่นกลับตระกูลหลิน

บทที่ 620 ไปเรียกตัวเจ้าเด็กนั่นกลับตระกูลหลิน

เมื่อพูดจบประโยคนี้ แม่เฒ่าตระกูลหลินก็กวาดมองผู้คนในงานด้วยใบหน้าที่ไปพอใจ

ตระกูลหลินแห่งเมืองลังยา คนที่มีวัยวุฒิและเป็นผู้อวุโสมากที่สุดก็คือแม่เฒ่าตระกูลหลินคนนี้

ยังไง แม่เฒ่าตระกูลหลินเป็นภรรยาของบรรพบุรุษของตระกูลหลิน

ถ้าหากเทียบตามลำดับยากแล้ว คุณแม่ของหลินอิ่ง หลินซูชิง ก็คือหลานสาวแท้ๆ ของเธอ

“เอ่อ……แม่เฒ่า แล้วสิ่งที่ท่านเฉินเฟิงจากหุบเขาเฉินเฟิงได้ถามนั้น ท่านคิดว่าจัดการอย่างไรดี ?” ชายในชุดราชวงศ์ถังที่อยู่ในห้องโถงกล่าวถามอย่างระมัดระวัง

แม่เฒ่าหรี่ตาเล็กลงพลางตอบกลับ:”หลินเฉียน เธอตรวจสอบชัดเจนแล้วหรือยัง?ลูกศิษย์ของท่านเฉินเฟิงคนนั้นตายในมือของหลินอิ่งเจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนั้นหรือเปล่า ?มีความเป็นไปได้นี่มันคืออะไร?”

หลินเฉียนนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง:”เรียนแม่เฒ่า ตามที่หลานได้ตรวจสอบตามการรายงานทางอินเทอร์เน็ตแล้ว เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ……”

“หลินอิ่งเจ้าเด็กคนนั้น ซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลฉี ได้ทำการต่อสู้กับตระกูลสวีในตี้จิงอย่าเอาเป็นเอาตายครับ” หลินเฉียนค่อยๆ พูดต่อ “ตระกูลสวีตอนนั้นเพราะทนต่อแรงกดดันไม่ไหว จึงไปยังแวดวงลึกลับเพื่อเชิญศิษย์ของท่านเฉินเฟิง เหอซานจินออกมาช่วยต่อสู้ แต่สุดท้ายเหอซานจินกลับพ่ายแพ้ตายในมือของหลินอิ่ง”

“ในเวลานี้ หลินอิ่งในตี้จิงได้เป็นดั่งราชาแห่งตี้จิง ตระกูลสวีแห่งตี้จิงก็ถูกเขากำจัดจนราบคาบ ส่วนอีกสี่ตระกูลใหญ่ก็ตกอยู่ในการดูแลควบคุมของเขา และเหมือนจะกลายเป็นเจ้าพ่อตี้จิงไปแล้ว”

“ฮือ?” แม่เฒ่าตระกูลหลินแสดงท่าทีสนใจขึ้นมาพร้อมดวงตาลุกวาว “ดูแล้ว หลินอิ่งเจ้าเด็กเสเพลคนนี้จะสุดยอดไม่เบาเลยนะ อายุยังหนุ่มแค่นี้สามารถประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้เลยหรือ?”

“ลูกศิษย์ของท่านเฉินเฟิงต่อให้ด้อยแค่ไหน ก็น่าจะมีพลังความแข.แกร่งระดับ รายการแห่งดิน แต่กลับถูกหลินอิ่งจัดการได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยงั้นหรอ?”

แม่เฒ่าตระกูลหลินเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่พลางพูดต่อ “ฉันเองก็เคยได้ยินมาว่า ตี้จิงแห่งโลกธรรมนั้นมีห้าตระกูลใหญ่ที่เป็นรากฐานอันหยั่งลึกแข็งแกร่ง และมีความสมบูรณ์ด้านทรัพย์สินอย่างมาก ถึงแม้จะบอกว่ามีความด้อยกว่าตระกูลหลินของเราไปไม่น้อย แต่การที่หลินอิ่งเจ้าเด็กอายุน้อยคนนั้นสามารถกำจัดได้ ในนั้นมีเรื่องแปลกประหลาดอะไรใช่หรือเปล่า ?”

ห้าตระกูลใหญ่แห่งตี้จิง ถึงแม้จะเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในโลกธรรม แต่เมื่อเทียบกับตระกูลหลินแห่งเมืองลังยาที่อยู่ในแวดวงลึกลับแห่งนี้แล้วยังถือว่าด้อยกว่าอย่างไกลโขเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ดำรงอยู่ในแดนสุดโลกธรรม ส่วนหลินอิ่งยังเป็นเพียงชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ กลับสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างราบคาบ และกลายเป็นและตั้งตนเป็นเจ้าพ่อตี้จิง?

ดูท่าแล้ว เจ้าเด็กนี่จะเป็นเทพเจ้าในหมู่คน

สิ่งนี้ทำให้ในใจของแม่เฒ่าตระกูลหลินเกิดความสนใจขึ้นมา

“มีเรื่องประหลาดบางอย่างครับ” หลินเฉียนตอบกลับอย่างนอบน้อม “แม่เฒ่า ตามที่หลานได้รู้มา ในตอนนั้นหลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉีหลินอิ่งและคุณป้าซูชิง ก็ได้หายเข้ากลีบเมฆไปนานถึงสิบกว่าปี ซึ่งได้ข่าวมาง่าไปซ่อนตัวอยู่ที่เมืองชิงหยูนของมณฑลตุงไห่”

“เมื่อหลายปีก่อนคุณป้าซูชิงเพราะว่าป่วยหนักจึงได้จากโลกนี้ไป ส่วนหลินอิ่ง ยังคงอาศัยอยู่ในสถานที่เล็กในมณฑลตุงไห่ ก่อนจะแต่งเข้าเป็นลูกเขยของตระกูลเล็กๆ หนึ่ง”

“หลังจากนั้น ตระกูลฉีได้พบกับการสังหารหมู่ หลินอิ่งจึงกลับไปยังตี้จิงด้วยความแข็งแกร่ง พร้อมกับฟื้นอำนาจให้กับตระกูลฉีอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงแค่ทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่ยังทำเรื่องสำคัญอีกหลายอย่าง ในตอนนี้ก็ยิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า นำพาตระกูลฉีขึ้นู่ดินแดนสูงสุดแห่งตี้จิง”

แม่เฒ่าฟังอย่างถี่ถ้วน พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเผยให้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน

“ซูชิงยัยเด็กคนนั้น ในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็จะแต่งงานกับเจ้าเด็กตระกูลฉีคนนั้น เขามีชื่อว่าฉีเหอถู?เอ๊ะ”

“ในโลกธรรมตระกูลฉีถึงแม้จะมีความรุ่งเรืองและร่ำรวยมหาศาล แต่มีดีอะไรที่สามารถมาเทียบเท่ากับความสูงส่งของตระกูลหลินแห่งเมืองลังยาได้เล่า?ซูชิงเจ้าเด็กไม่รู้ความ ทำลายขนบธรรมเนียมของตระกูล แล้วยังตัดความสัมพันธ์กับตระกูลหลินอีก และไม่ยอมติดต่ออะไรอีกเลย”

“พูดไปก็น่าขำ ซูชิงเจ้าเด็กนั่นไม่เคยดูแคลนที่ว่าตระกูลฉีเป็นเพียงตระกูลใหญ่ในโลกธรรม แต่สุดท้ายกลับถูกฉีเหอถูดูแคลนว่าไม่มีพื้นฐานครอบครัว แล้วไล่ออกจากตระกูลฉีไป?เหอะๆ”

แม่เฒ่าตระกูลหลินส่ายหน้าหัวเราะเยาะ สีหน้ามีความใพอใจเล็กน้อย

เรื่องนี้ในตอนนั้น ที่หลินซูชิงผู้เป็นแม่ของหลินอิ่ง แต่งงานกับฉีเหอถูคนตระกูลฉีแห่งตี้จิงในโลกธรรม

ในเวลานั้นคนตระกูลหลินแห่งเมืองลังยาดูว่านี่เป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของตระกูลอีกด้วย

ตระกูลหลินทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องน่าละอาย และพยายามต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้อย่างรุนแรง

แต่แล้ว หลินซูชิงกลับไม่ฟังคำโน้มน้าว ยอมตัดขาดกับตระกูลตัวเอง เพื่อที่จะแต่งงานกับฉีเหอถู

มางด้านหลินซูชิงที่เป็นเพราะวิวาทกับตระกูลหลิน จึงยอมตัดความสัมพันธ์ ฐานะเบื้องหลังของตัวเองจึงไม่เคยได้บอกกับใครได้รู้เลย แล้วพยายามปิดบังตัวตน แม้แต่ฉีเหอถูเองก็ยังไม่รู้เลยว่าหลินซูชิงจะมีฐานะเบื้องหลังที่น่าทึ่งขนาดนี้ จนเกิดความดูถูกที่ตัวตนของหลินซูชิงไม่มีอำนาจใดๆ จึงไปแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลดังแทน

ต่อมา คนของตระกูลหลินแห่งเมืองลังยารู้ข่าวว่าหลินซูชิงถูกตระกูลฉีขับไล่ออกไป ทั้งยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จึงยิ่งทำให้เกิดความโกรธมากยิ่งขึ้น จึงได้ปกปิดข่าวคราวทุกอย่างเอาไว้เพราะกลัวว่าจะทำให้เสียชื่อตระกูลหลินไป

สำหรับแม่เฒ่าตระกูลหลิน หลินซูชิงผู้เป็นแม่ของหลินอิ่งนั้น เธอก็ทำเหมือนกับไม่เคยมีหลานสาวคนนี้มาก่อน

จนกระทั่งช่วงนี้ที่หลินอิ่งได้ทำเรื่องน่าทึ่งมากมายในตี้จิง จนไปดึงดูดความสนใจของคนตระกูลหลินเข้า

“เรื่องของซูชิงในตอนนั้น ทำให้พวกเราตระกูลหลินต้องอับอายขายหน้า ถ้าเกิดว่าพวกเราไม่ได้ปกปิดข่าวนั้นไว้อย่างรวดเร็ว เกรงว่าหากกระจายออกไปในแวดวงลึกลับ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตระกูลหลินของเราอย่างไร”

“แม่เฒ่า ซูชิงได้ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลหลินของเราไปหลายสิบปีแล้ว ผมว่าเรื่องนี้พวกเราตระกูลหลินไม่จำเป็นต้องไปช่วยเหลืออะไร และไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือด้วย”

ยังมีคนตระกูลหลินอีกหลายคนที่เมื่อพูดถึงหลินซูชิงผู้เป็นแม่ของหลินอิ่งแล้ว ยังคงมีความรู้สึกไม่พอใจ หรือดูถูกอยู่ไม่น้อย

เพราะว่าหลินซูชิงแต่งงานกับคนของตระกูลฉีแห่งโลกธรรม ทั้งยังถูกเขาขับไล่ออกจากตระกูลฉี อีก จึงถือเป็นการทำลายเกียรติยศอย่างมาก !

“อืม” แม่เฒ่าตระกูลหลินหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างสบายๆ “ซูชิงก็ได้จากไปแล้ว คนตายเรื่องก็จบ เรื่องราวในตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดมากอีก”

“แต่ว่าลูกชายคนนี้ของซูชิง ไม่ธรรมดาเลยนะ ทั้งยังมีกิริยาเหมือนคนตระกูลหลินอีก” แม่เฒ่าตระกูลหลินพูดอย่างครุ่นคิด “ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นมีชื่อเสียงโลดแล่นอยู่ในตี้จิงแล้ว อย่างนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน หลินเฉียน เธอไปจัดเตรียมคนให้ลงเขา ไปที่ตี้จิงเพื่อเชิญหลินอิ่งเจ้าเด็กคนนั้นกลับมายังตระกูลหลิน แล้วบอกเรื่องแม่ของเขาให้ฟังด้วย”

“ห๊า?” หลินเฉียนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ร้อมถามกลับอย่างสงสัย “แม่เฒ่า นี่ท่านได้ตัดสินใจไว้นานแล้วหรอครับ?”

“แม่เฒ่า ไม่ใช่หรอก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะละเลยไปได้ ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลินแห่งเมืองลังยาของพวกเราจะให้คนเข้ามาแบบลวกๆ ได้อย่างไร?เรื่องแบบนี้จะจัดเตรียมแบบเรียบง่ายได้อย่างไรกัน?”

“แม่เฒ่า ตอนนั้นหลินซูชิงดึงดันที่จะแต่งงานไปกับคนตระกูลฉี จนตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเราตระกูลหลิน ถือเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ธรรมเนียมตระกูล!สวะวงศ์ตระกูลแบบนี้ พวกเราตระกูลหลินจะให้ลูกชายของเธอกลับเข้าสู่ตระกูลได้อย่างไรกันครับ ?”

“ถูกต้องแล้ว แม่เฒ่า ท่านต้องไตร่ตรองให้ลึกซึ้งก่อน หลินซูชิงตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลหลิน ลูกชายของเธอ ยังจะมีคุณสมบัติอะไรในการกลับมาอีก เขามีเกียรติอะไรกัน? หลินอิ่งอะไรคนนั้นที่ประสบความสำเร็จเพียงน้อยนิดในตี้จิงแห่งโลกธรรม สำหรับพวกเราตระกูลหลินแห่งเมืองลังยาแล้วนับว่าเป็นอะไรได้?ก็แค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น!”

เมื่อแม่เฒ่าพูดประโยคนี้ออกมา ที่แสดงว่าต้องการเรียกตัวหลินอิ่งกลับสู่ตระกูลหลิน

คนตระกูลหลินที่อยู่ตรงนั้นต่างก็คัดค้านขึ้นมา สำหรับแม่ของหลินอิ่งแล้วพวกเขานั้นยังคงมีความดูถูกดูแคลน และไม่ชอบอย่างมาก

แม่เฒ่าตระกูลหลินขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง:”ซูชิงเจ้าเด็กคนนั้น ในเมื่อให้ลูกชายแซ่หลิน อย่างนั้นพูดได้ชัดเจนแล้วว่าในใจของเธอนั้นนึกเสียดาย เพียงแต่ว่าไม่มีหน้าที่จะกลับมายังตระกูลหลิน ฉันว่าหลินอิ่งคนนั้น ก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถ คู่ควรกับฐานะตระกูลหลินของพวกเรา เรียกตัวเขามาตระกูลหลิน ฉันจะทดสอบเขาก่อน ดูสิว่าจะมีความเก่งกาจขนาดไหน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท