ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 627 จัดการไอ้เด็กนี่ซะ

บทที่ 627 จัดการไอ้เด็กนี่ซะ

พอได้ฟังคำขู่ของหลินเจว๋ หลินอิ่งก็หัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน สีหน้าไร้อารมณ์

ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ถูกตระกูลหลินแห่งลังยาขู่แบบนี้ ในใจจะต้องมีหวั่นไหวบ้าง

แต่ว่าเขา ไม่ว่ายังไงก็เป็นถึง หลินอิ่ง ทายาทแก๊งมังกร

“คุณกำลังขู่ผม?”หลินอิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน”คุณคิดจริงๆ เหรอว่าผมไม่กล้าฆ่าคุณ? ถ้าผมฆ่าคุณ ตระกูลหลินจะสามารถคุ้มครองคุณได้ไหม?”

“สำหรับการกระทำในวันนี้ของคุณ อย่างน้อย ผมก็จะทำลายศิลปะการต่อสู้ของคุณ เพื่อที่จะไม่ให้คุณใช้ศิลปะการต่อสู้มาอวดเบ่งอีกแล้ว”

ท่าทีที่หยิ่งยโสของพวกหลินเจว๋ มาเล่นงานคนของเขาถึงที่ มันก็ทำให้หลินอิ่งมีเจตนาฆ่าขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

“หลินอิ่งเอ๋ย กิริยาท่าทางของแกนี่มันเหมือนกับตาของแกสมัยหนุ่มจริงๆ หยาบคายเอาแต่ใจสุดๆ ”

ในขณะนี้เอง ข้างนอกประตูก็มีเสียงที่นิ่งลึกคาดเดาไม่ได้ดังขึ้นมา

ผู้ชายในชุดราชวงศ์ถังอายุประมาณห้าสิบปีขึ้นไป เดินเอามือไขว้หลังตรงเข้ามา หรี่ตามองหลินอิ่ง

คนที่มา ตั้งแต่หัวจรดเท้าดูมีรังสีไม่ธรรมดา หน้าตาเข้มงวดเคร่งขรึม สายตาเฉียบแหลมราวกับคมมีด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี

“พี่ห้า เมื่อตะกี้เห็นแล้วใช่ไหม ว่าเด็กหลินอิ่งนี่มันหัวแข็งดื้อรั้นมาก กล้ามาลงมือกับพวกเด็กทั้งสองคนต่อหน้าผม”พอหลินเจว๋เห็นคนมา ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา”คุณว่า ควรจะจัดการกับเด็กนี่ยังไง?”

“ฉันเห็นแล้ว เด็กนี่มันหยิ่งผยองกว่าที่คิดเอาไว้ แม้แต่นายยังจัดการมันไม่ได้ ทำให้ฉันประหลาดใจจริงๆ ”

คนที่มาพูดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่เร่งไม่รีบ มองมายังหลินอิ่งด้วยความสนใจ

“หลินอิ่ง ฉันชื่อหลินหวูเว่ย เป็นพี่ห้าของแม่ของแก สมัยก่อนตอนที่แม่ของแกยังอยู่ที่ตระกูลหลิน ฉันก็เคยพาแม่ของแกมาก่อน”

หลินหวูเว่ยค่อยๆ พูดขึ้น

“เห็นแก่ที่แกยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไร ฉันที่เป็นผู้อาวุโส ยกโทษให้กับความผิดของแกได้”หลินหวูเว่ยวางมาด พูดขึ้นอย่างทรงพลังน่าเกรงขาม”ตอนนี้ แกขอโทษหลินเจว๋น้าของแกต่อหน้าซะ จากนั้น ก็ส่งมอบกิจการธุรกิจของตี้จิงมาแต่โดยดี แล้วกลับไปตระกูลหลินแห่งลังยากับฉัน ทั้งหมดก็จะยังพูดดีๆ กันได้”

หลินอิ่งยิ้มไม่พูดอะไร แววตาเผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น

เขาใกล้จะหมดความอดทนแล้ว ขี้เกียจเสวนากับคนของตระกูลหลินอีกแล้ว

คนของตระกูลหลินแห่งลังยา เป็นคนที่เย่อหยิ่งทะนงตัวทุกคน

บางทีเพราะว่าพวกเขาอาจจะยังไม่เคยเจอกับความทุกข์ยากมาก่อน

บางทีในสายตาของเขา ทุกอย่างในโลกธรรมอาจจะไร้สาระ ต่อให้มีพลังอำนาจแข็งแกร่งแค่ไหน มั่งคั่งขนาดไหน ภายใต้การควบคุมของอำนาจที่เด็ดขาดแล้ว ก็ไร้ประโยชน์

“ถ้าไม่อยากพูดดีๆ ล่ะ?”

หลินอิ่งมองหลินหวูเว่ย พูดถามขึ้นอย่างสนใจ

เขามองออก ว่าพลังบูโดของหลินหวูเว่ยอยู่เหนือกว่าหลินเจว๋

สองคนนี้ล้วนแต่อยู่ในระดับโลก แต่แค่ว่า ท่าทางของหลินหวูเว่ยให้อารมณ์ความรู้สึกที่ทรงพลังแข็งแกร่งมากกว่า เกือบเข้าใกล้ระดับสวรรค์แล้ว

คนนี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดที่ตระกูลหลินส่งมาที่ตี้จิง

“ไม่พูดดีๆ ?”หลินหวูเว่ยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“หลินอิ่ง เมื่อตะกี้ฉันไม่โผล่หน้าออกมา แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าแกมีท่าทียังไง”หลินหวูเว่ยยิ้พูดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน”การต่อสู้ของแกกับหลินเจว๋ เผยให้เห็นถึงพลังของแกเรียบร้อยแล้ว”

“แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน อย่าให้ฉันต้องลงมือจัดการแกแล้วลากกลับตระกูลหลินเลย ถ้าเป็นแบบนั้นจะดูไม่ดีเอา”

หลินหวูเว่ยยิ้มท่าทางดูฉลาดมีปัญญา ราวกับว่ามองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างของหลินอิ่งออกตั้งนานแล้ว

เพราะว่า การต่อสู้ของหลินอิ่งกับหลินเจว๋เมื่อตะกี้นี้ ทุกการกระทำของหลินอิ่ง ล้วนแต่อยู่ในสายตาของเขาหมดแล้ว

เขาตัดสินอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ว่าพลังบูโดของหลินอิ่งอยู่ในระดับกลางของระดับโลก ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้แน่นอน

แต่แค่เคล็ดลับวิชาบูโดของหลินอิ่งน่าประหลาดใจมาก คาดเดาไม่ได้

“หลินอิ่ง แกน่าจะมีได้รับบาดเจ็บอยู่ภายในสินะ ดูอ่อนแอ ตอนที่ต่อสู้กับหลินเจว๋เมื่อตะกี้ แทบจะฝืนรับเอาไว้เลยสินะ”หลินหวูเว่ยพูดขึ้นด้วยอารมณ์หยอกเล่น”ฉันก็ไม่อยากจะไปรังแกคนที่ด้อยกว่า ไม่อยากลงมือจัดการกับเด็กรุ่นหลังที่บาดเจ็บตามตัวแบบแก”

“แถม ต่อให้เป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของแก บูโดก็คงไม่ถึงขั้นระดับสวรรค์หรอก”

“สิ่งที่ฉันอยากรู้ในตัวแกมากที่สุด ก็คือเคล็ดลับวิชาบูโดน่าอัศจรรย์มากจริงๆ ขนาดระดับฉันเห็นแล้วยังมองไม่ออกถึงเงื่อนงำเลยสักนิด”

“แล้วก็ แกยอมบอกมาซะดีๆ เถอะ ว่าแกยังมีใครอยู่เบื้องหลังอีก? ที่ได้ครอบครองตี้จิง กำลังทำงานให้กับใครอยู่?”

หลินหวูเว่ยค่อยๆ พูดคำพูดนี้ออกมาอย่างช้าๆ มองจ้องหลินอิ่ง

พูดเข้าประเด็นทันที

หลินหวูเว่ยแค่รู้สึกประหลาดใจกับสองอย่างนี้ของหลินอิ่งเท่านั้น

อย่างแรกคือคิดไม่ถึงว่าตัวหลินอิ่งเองจะมีพลังบูโดที่ไม่ธรรมดา เคล็ดลับศิลปะการต่อสู้น่าทึ่งมาก

สองคือสงสัยว่า เบื้องหลังของหลินอิ่งมีคนที่เก่งกาจคนไหนคอยบงการอยู่ ถึงยังไงหลินอิ่งก็เงียบๆ ไม่มีข่าวคราวอะไรในกลุ่มสันโดษเลย ทักษะความสามารถนี้ ไม่มีทางมาโดยที่ไม่มีใครสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่นอน

หลินอิ่งมองหลินหวูเว่ยอย่างนิ่งลึก มุมปากเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย้ยหยัน

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ในสายตาของตระกูลหลินแห่งลังยา ตัวเองไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ ด้วย คิดว่าเบื้องหลังของตัวเองยังมีคนคอยสั่งการอยู่ ถึงได้สามารถครอบครองตี้จิงได้

ถึงยังไงมันก็เป็นแบบนี้มาอยู่แล้ว ประเมินตัวเองต่ำเพราะเห็นว่าตัวเองอายุน้อย

“ดูท่าแล้ว แกไม่ยอมส่งมอบอำนาจของตี้จิงมาให้แต่โดยดีสินะ? ไม่เต็มใจ?”หลินหวูเว่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าอารมณ์หยอกเล่น”แกยังคิดว่าแกสามารถขัดต่อเจตจำนงของตระกูลหลินแห่งลังยาได้อีกเหรอ?”

“ต่อหน้าของพลังที่เด็ดขาด แกขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้แกไม่ยอมส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างของตี้จิงมา ตระกูลหลินก็มีวิธีที่จะจัดการกับแกอยู่ดี”หลินหวูเว่ยพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน

หลินอิ่งแทบจะแอบหลุดขำออกมา พูดขึ้น”แบบพวกคุณเนี่ยนะ กล้าเรียกตัวเองว่าพลังที่เด็ดขาด?”

“เหอะ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ ถ้าไม่เอาของจริงให้แกดูสักหน่อย เด็กแบบแกก็จะไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โลกใบนี้มันมีอะไรมากกว่าที่แกคิด”หลินหวูเว่ยสีหน้าเยือกเย็นลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

“หลินเจว๋ มาร่วมมือกับฉัน จัดการไอ้เด็กนี่ซะ แล้วลากมันกลับตระกูลหลิน!”

จู่ๆ หลินหวูเว่ยก็ออกคำสั่ง ดูท่าทางทรงพลังน่าเกรงขาม ที่ตัวมีคลื่นอากาศที่รุนแรงน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา กลายเป็นแสงสายฟ้า พุ่งไปยังหลินอิ่ง

ในขณะเดียวกัน หลินเจว๋ก็พุ่งลงมืออย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน โจมตีหลินอิ่งจากอีกทิศทางหนึ่ง

ยอดฝีมือสองคนนี้ เคลื่อนไหวดุจสายฟ้า รวดเร็วจนน่าทึ่ง

ส่วนหลิงอิ่ง ก็คาดไว้ก่อนแล้ว รู้ว่าสองคนนี้มีความคิดอะไรอยู่ เตรียมพร้อมไว้ตั้งนานแล้ว สังเกตทุกการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนตลอดเวลา

ช่วงเวลานี้

สองแขนของหลินอิ่งสั่นสะเทือน เกิดเสียงดังลั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งออกไปราวกับคลื่นสึนามิ อากาศแปรปรวนระเบิดดังกระหึ่ม พลังภายในแทบจะอัดรวมกันเป็นมวลสาร ราวกับว่ากลายเป็นสองมือล่องหนพุ่งไปคว้าพวกเขาสองคนเอาไว้

ปึง!ปึง!

เสียงดังขึ้นมาสองครั้ง พวกหลินหวูเว่ยถูกบล็อคเอาไว้ ร่างกายแข็งชะงัก ห่างจากหลินอิ่งไปสามฟุต ราวกับถูกพายุเฮอริเคนพัดโถมกระหน่ำอย่างรุนแรง เสื้อที่สวมอยู่พัดโบกอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังกร็อบแกร็บ!

กร็อบแกร็บ!

พลังงานที่โหดเหี้ยมรุนแรงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่ว สะเทือนสนั่นหวั่นไหวจนพื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ แยกกระจายออกจนละเอียด

ถึงขนาดที่แม้แต่กระจกกันระเบิดของโถงรับแขก ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปหมด ร่วงตกลงบนพื้น……

“นี่มัน!”

หลินหวูเว่ยกับหลินเจว๋สีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ

พวกเขาคิดไม่ถึง ว่าพลังภายในที่ระเบิดออกมาของหลินอิ่ง จะน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท