ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 612 พวกคุณคิดจะใช้ความรุนแรงหรือไง?

บทที่ 612 พวกคุณคิดจะใช้ความรุนแรงหรือไง?

ณ การประชุมสุดยอด อาคารเทียนหลง

ตรงโต๊ะเจรจา มือทั้งสองของสวีจิ่วหลิงกุมไม้เท้าหัวมังกรเอาไว้ ข้างกายเขามีพนักงานเข้ามารินชาให้ เขาหรี่ตามองลงไปบริเวณด้านล่างเวทีด้วยท่าที่สุดผ่อนคลาย

“เรียบร้อยแล้วครับ นายท่านสวี ประธานเผียว ตอนนี้คะแนนมติได้นับเสร็จสิ้นแล้ว !”

ในตอนนั้น มีตัวแทนผู้จัดการของชีซิงกรุ๊ปคนหนึ่งเดินขึ้นมา พร้อมกับผู้จัดการงานประชุมอีกกลุ่มหนึ่งที่ตามมา โดยในมือกำลังถือสำเนาเอกสาร

“ดี ผมขอดูหน่อยสิ” เผียวจินฮุนพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ พร้อมยื่นมือออกไปรับรายการเอกสารมาใช้ในการตรวจสอบอ้างอิง

“ทั้งเหล่าสมาชิกของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง และตัวแทนยักษ์ใหญ่ต่างๆ ได้มีการลงนามเห็นด้วยกับข้อเสนอของพวกเราด้วยตัวเองมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว” รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเผียวจินฮุน พร้อมกับหันไปพูดกับสวีจิ่วหลิง “นายท่านสวี ตามกฎระเบียบของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงของพวกคุณแล้ว หลังจากนี้เมืองเทียนหลงก็จะขึ้นอยู่กับฝ่ายพวกเราในการตัดสินแล้ว”

“ถูกต้อง!” สวีจิ่วหลิงหรี่ตาลงเล็กลงด้วยท่าทีที่เบิกบาน “เมื่อลงนามกันหมดแล้ว หลังจากนี้พวกเราก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจดูแลจัดการกับเมืองเทียนหลงแล้ว หากหลินอิ่งยังคิดที่จะมาก่อเรื่องอีก ก็คงจะมีเพียงแต่ต้องถูกสมาชิกทุกคนขับไล่เท่านั้น”

“หลินอิ่งแห่งตระกูลฉี คนนั้น อายุยังน้อย คิดว่าแค่อาศัยกำหมัดเดียวก็จะสามารถเอาชนะได้แล้ว แต่ความจริงยังอ่อนหัดเกินไป” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ

ความภาคภูมิในใจของสวีจิ่วหลิง นั้น มีความสุขบางอย่างจากการที่สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง ความอัปยศอดสูของตระกูลสวีที่เคยถูกหลินอิ่งกดขี่เมื่อในอดีต ตอนนี้ได้ถูกชำระล้างออกไปจนหมดจดแล้ว!

หลินอิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วจะทำอะไรได้อีก?

ก็แค่คนชอบใช้กำลังไร้ความคิดเท่านั้น

วันนี้ไม่ว่าจะเป็น ประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิง , ตระกูลใหญ่ต่างๆ ,กลุ่มผู้มีอำนาจทางการเงิน หรือแม้แต่สมาคมธุรกิจต่างประเทศต่างก็ได้ลงนามในหนังสือสัญญามากกว่าครึ่งของคนทั้งหมดแล้ว

ผลประโยชน์ของทุกคนถูกมัดรวมเข้าด้วยกันหมด

ต่อให้หลินอิ่งจะมีความสามารถล้นฟ้ามากแค่ไหน มีหรือที่จะสามารถพลิกเเต้มได้อีก ?

ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่รู้เลยว่าหลินอิ่งจะสามารถรอดจากการลอบฆ่าของมุซาชิ จูโตะได้หรือเปล่าด้วย……

“ทุกท่าน!โปรดอยู่ในความสงบสักครู่!”

สวีจิ่วหลิงลุกขึ้นยืนตรงอย่างช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังอย่างมาก

“ผลสรุปของการประชุมสุดยอดเทียนหลงได้ออกมาแล้ว จากความเห็นของผู้ร่วมประชุมทั้งหมดมีคนจำนวนมากกว่าครึ่งที่ให้การสนับสนุนตระกูลสวีของเรา” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างผ่อนคลาย “ผมขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่งที่ทุกท่านให้ความไว้วางใจและสนับสนุนโครงการความร่วมมือของตระกูลสวี อนาคตจากนี้จะต้องเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนครับ”

“ต่อจากนี้ผมจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศผลสรุปของการประชุมยอดเทียนหลงครั้งนี้ให้แก่สาธารณชนได้รับทราบ” สวีจิ่วหลิงพูดอีกครั้งอย่างสบายใจ “จากนั้น หลังจากที่ทุกท่านกลับไปแล้วก็สามารถเริ่มที่จะมาติดต่อเจรจาเกี่ยวกับธุรกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมืองเทียนหลงกับตระกูลสวีของเราได้เลยนะครับ”

“ครับ!มีนายท่านสวีเป็นผู้ดูแล พวกเราก็วางใจแล้วครับ เมืองเทียนหลงจะต้องพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นดุจสายน้ำแน่นอน”

“ใช่แล้วครับ ด้วยบารมีของนายท่านสวี และเกียรติยศของตระกูลสวีที่มีมานับศตวรรษ แล้วยังมีการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของชีซิงกรุ๊ปจากธุรกิจนอกประเทศอีก พวกเราทุกคนล้วนเดินตามแสงสว่าง รับรองว่าจะต้องได้รับผลเก็บเกี่ยวที่มั่งคั่งแน่นอน!”

“จริงที่สุดครับ นอกจากคนระดับนายท่านสวี ยังจะมีใครมีคุณสมบัติและบารมีที่มากพอจะดูแลเมืองเทียนหลงได้อีก ?เป็นแค่หลินซื่อกรุ๊ปก็ยังคิดเพ้อเจ้อจะมาเป็นผู้นำงั้นหรอ?ตลกสิ้นดี!”

เสียงปรบมือดังครึกโครมไปทั่ว

หลังจากที่สวีจิ่วหลิงพูดจบ ผู้คนด้านล่างเวทีมากกว่าครึ่งต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรบมือด้วยสีหน้ายินดี และพูดจาโอ้อวดต่างๆ นานา

แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน แววตายังคงแสดงออกถึงความลังเล ภายในใจเต้นตึกตักอย่างหนัก

“อะแฮ่ม……” สวีจิ่วหลิงกระแอมออกมา พร้อมกับกวาดมองไปยังผู้นั่งทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอนว่าผมก็มีเรื่องไม่ดีบางอย่างที่จะแจ้งให้ทราบด้วย”

“วันนี้ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มีความคลางแคลงใจต่อตัวผมและตระกูลสวี ไม่ยอมลงนาม และไม่ยอมลงมติด้วย”

“ในการประชุมสุดยอดเทียนหลงครั้งนี้ ทุกอย่างได้สิ้นสุดลงแล้ว ตัวผมเองก็คร้านที่จะไปคิดบัญชีกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แล้วด้วย แต่ว่าผมจะให้เวลาพวกคุณหนึ่งวัน ถ้าหากว่าไม่มากล่าวขอโทษ และขอเข้าร่วมกับตระกูลสวี”

“อย่างนั้น เมื่อถึงเวลาแล้วอย่ามาโทษว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน !พร้อมกับคิดบัญชีกับแต่ละคนด้วย!”

เมื่อพูดจบ สวีจิ่วหลิงก็นั่งลงด้วยท่าทางของผู้ชนะพร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบอย่างผ่อนคลาย

ทว่าเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ด้านล่างกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากขึ้น

เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง บริเวณประตูทางเข้างานประชุม จู่ๆ ก็มีกลุ่มชายชุดสูทพุ่งเข้ามา ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม พร้อมท่าทีที่น่าเกรงขาม มองดูแล้วแต่ละคนดูไม่ต่างกับนักฆ่าที่โหดเหี้ยมเลย

จ้าวเฉิงเฉียนและนิ่งซวนที่ยืนนำอยู่ข้างหน้าสุด มองไปยัง สวีจิ่วหลิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจา

“สวีจิ่วหลิง คุณทำตัวโอหังเร็วเกินไปหน่อยแล้ว!” นิ่งซวนพูดด้วยเสียงหนักแน่น “คุณคิดว่าการประชุมสุดยอดเทียนหลงกลายเป็นอะไรไปซะแล้ว?คิดว่าเป็นเวทีแสดงเดี่ยวของตระกูลสวีหรือไงครับ ?ตัวแทนผู้บริหารทั้งสี่ของประชุมธุรกิจใหญ่ตี้จิงยังไม่พยักหน้าเห็นด้วยเลย ดังนั้นโครงการของคุณก็เป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้น!”

“หึ!” สวีจิ่วหลิงพ่นเสียงเยาะเย้ยออกมา พร้อมมองนิ่งซวนด้วยใบหน้าเย็นชา “ทำไม?เจ้าเด็กตระกูลนิ่งอย่างแก ยังไม่ยอมแพ้อีกงั้นหรอ ?”

“ตัวแทนผู้บริหารทั้งสี่จะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็ไม่ได้สำคัญอีกแล้ว พวกคุณถูกเตะออกจากบอร์ดแล้ว” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างแข็งกร้าว

“เมืองเทียนหลง ไม่ต้องการให้คนตระกูลพวกคุณมายุ่งด้วย”

“อีกอย่างหากต้องแสดงออกถึงสถานะของตระกูลใหญ่ คนอย่างพวกคุณยังมีคุณสมบัติไม่มากพอ !”

“เหอะ” นิ่งซวนหัวเราะเยาะออกมา “สวีจิ่วหลิง ออกจากบอร์ดหรือไม่คิดว่าแค่คุณพูดก็ได้แล้วงั้นหรือไง ?วันนี้ คุณชายอิ่งไม่อยู่ในงาน ส่วนตระกูลกงซุน ตระกูลจ้าวและตระกูลนิ่งยังไม่เห็นด้วยเลย โครงการของคุณถือว่าเป็นโมฆะ !”

“ตัวแทนผู้ร่วมการประชุมมากกว่าครึ่งได้มีการลงนามเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างได้มีการสรุปผลและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว พวกคุณยังจะดิ้นรนทำไมกันอีก ?” สวีไป๋เห้อพูดพลางมองไปยังกลุ่มของนิ่งซวนด้วยสีหน้าขี้เล่น “อย่าบอกนะว่า คุณอยากจะบาดหมางกับเหล่าตัวแทนผู้ร่วมประชุมจำนวนมากกว่าครึ่งนี้หน่ะ ?คิดให้ถี่ถ้วนด้วยว่าจากนี้ตระกูลนิ่งของคุณยังจะต้องโลดแล่นอยู่ในตี้จิงอีกหรือเปล่า !”

“พวกคุณทุกคนถอยออกไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็จะมีงานแถลงข่าวประกาศผลสรุปให้กับสาธารณชนแล้ว” สวีไป๋เห้อพูดอย่างภาคภูมิใจ

“ผลสรุปนี้ไม่นับว่าเป็นผล และพวกคุณจะไม่มีทางได้แถลงให้กับสาธารณชนด้วย” นิ่งซวนแย้งอย่างแข็งกร้าว

ตัวแทนนักธุรกิจมากกว่าครึ่งที่ตกไปเป็นของตระกูลสวีแล้ว

และในเมื่อทุกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้วก็มีเพียงแต่ต้องล้มโต๊ะแล้วเท่านั้น

ไม่อย่างนั้น ถ้าหากทุกอย่างจบลงก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่

“ทำไม?แกบอกไม่ได้ก็ไม่ได้งั้นหรอ?แกมันอะไรกัน?” สวีจิ่วหลิงถลึงตาจ้องนิ่งซวน “หรือว่าพวกแกคิดที่จะใช้กำลัง?คิดจะให้คนล้อมอาคารเทียนหลงงั้นหรอ?”

“ถ้าใช่แล้วจะยังไง?”

นิ่งซวนพูดด้วยความแข็งกร้าวพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณ

“ล้อมงานประชุมเอาไว้ ใครก็ห้ามออกไปทั้งนั้น!”

เมื่อพูดจบ กลุ่มสุดยอดทหารลับก็เริ่มเคลื่อนไหว ก่อนจะปิดล้อมทางเข้าออกทั้งหมดเอาไว้

“หึ!ฉันจะดูสิว่าพวกแกจะทำได้ขนาดไหนเชียว!” สวีจิ่วหลิงตบโต๊ะไปหนึ่งที

เสียงฝีเท้าดังขึ้น เพียงครู่เดียว ทั้งบันไดของประตูทางเข้าด้านบน และภายในทางฉุกเฉินก็มีกลุ่มบอดี้การ์ดสวมชุดสูทวิ่งพรั่งพรูเข้ามา

รวมทั้งกลุ่มสุดยอดนักเตรียมการของตระกูลสวีก็มาถึงสถานที่เตรียมตัวพร้อมโจมตีแล้วเช่นกัน

คราวนี้บรรยากาศทั้งหมดก็ดูตื่นตระหนกอย่างมาก

เหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมประชุมต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ด้วยความตื่นใจกลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท