ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 622 หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลพวกเรา

บทที่ 622 หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลพวกเรา

“นี่มัน……”

คนตระกูลหลินที่อยู่ตรงนั้น สีหน้าต่างพากันดูไม่ดี ไม่พอใจสุดๆ กับการตัดสินใจในครั้งนี้ของแม่เฒ่า

ไร้เหตุไร้ผลสิ้นดี พวกเขาล้วนแต่ไม่ยอมให้คนนอกแบบหลินอิ่งกลับคืนสู่ตระกูลหลิน

“หือ?”

แม่เฒ่าตระกูลหลินสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน กวาดสายตามองคนตระกูลหลินที่อยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา

ตอนนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกไม่พอใจของแม่เฒ่าคนนี้ ไม่กล้าต่อต้านเจตนาของเธอ

“แม่เฒ่า พวกเราขอตัวครับ”

พูดจบ เหล่าคนตระกูลหลินกล่าวลาด้วยความไม่ค่อยเต็มใจ

พวกเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่เรียกหลินอิ่งกลับมา

แต่หมดหนทาง นายท่านใหญ่ตระกูลหลินกำลังปิดตัวเองออกจากทางโลก งานกิจการทั้งหมดของตระกูลก็เป็นแม่เฒ่าผู้มีคุณธรรมและบารมีอันสูงส่งมาจัดการอย่างเต็มอำนาจ

มีความน่าเกรงขามของแม่เฒ่าอยู่ด้วย ใครก็ไม่กล้ามาท้าทายอำนาจของแม่เฒ่า

ไม่นาน บรรดาคนของตระกูลหลินก็เดินออกจากห้องโถง ทุกคนหันมองหน้ากัน สีหน้ายุ่งยากซับซ้อน

กลุ่มคนพวกนี้ เรียกได้ว่าพวกเขาล้วนแต่ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง

“แม่เฒ่าจะเรียกตัวของหลานชายนอกคอกคนนั้นของน้องสิบสองกลับมา แถมยังยกเลิกโทษของตระกูลให้กับน้องสิบสองด้วย พวกคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้?”น้องสามของตระกูลหลินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

“นี่ นี่มันไม่ใช่ข่าวดีอะไร”คนตระกูลหลินคนหนึ่งครุ่นคิดพลางพูดขึ้น”น้องสิบสองในตอนนั้นเนื่องจาก ถูกพี่สามฉวยโอกาสเอาเรื่องของลูกสาว หลินซูชิง มาต่อรอง เพื่อช่วงชิงอำนาจของเขาในตระกูลหลินไป ทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในโลกธรรมมาสิบกว่าปี เกรงว่า ความแค้นในใจของเขาที่มีต่อพวกเรา จะเก็บสะสมมานานแล้ว”

“น้องสิบสองกลับตระกูลมาในครั้งนี้ ต้องมาก่อเรื่องสร้างปัญหาแน่นอน”

“เหอะ!”น้องสามตระกูลหลินสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็มืดมนมากขึ้น

ที่เขาคัดค้านการกลับคืนสู่ตระกูลหลินของหลินอิ่ง ก็เป็นเพราะว่ามีความขัดแย้งกับหลินซวนหวาตาของหลินอิ่งนั่นเอง

ในตอนนั้นแต่เดิมทั้งสองคนต่างก็เป็นเด็กที่มีความสามารถโดดเด่นของตระกูลหลินแห่งลังยาเหมือนกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างเป็นปฏิปักษ์กัน มีชื่อเสียงมากมายในกลุ่มสันโดษเหมือนกัน

แต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ลูกสาวของหลินซวนหวาหลินซูชิงได้แต่งงานกับตระกูลฉีของตี้จิงในตระกูลโลกธรรม แล้วก็ตัดความสัมพันธ์กับตระกูลหลินไป

เรื่องนี้ทำให้นายท่านใหญ่และแม่เฒ่าของตระกูลหลินต่างก็โกรธสุดๆ

เขาก็เลยคว้าโอกาสนี้ จัดการทำให้ตาของหลินอิ่ง หลินซวนหวาตกต่ำลง ถูกตระกูลลงโทษอย่างหนัก สูญเสียสถานภาพและอำนาจไป

ยี่สิบกว่าปีเต็มๆ หลินซวนหวาไม่มีโอกาสแม้แต่จะลืมตาอ้าปาก

แต่ ครั้งนี้ไม่คิดว่าหลินอิ่งนั่นจะดึงดูดความสนใจของแม่เฒ่า แถมยังทำให้แม่เฒ่าเว้นโทษของหลินซวนหวาอีกด้วย

“ยี่สิบกว่าปีแล้ว ในใจของน้องสิบสองมีความโกรธแค้นมากขนาดไหน ฉันพอจะจินตนาการได้”น้องสามตระกูลหลินค่อยๆ พูดขึ้น

“แต่หลินอิ่งนั่น ถ้าเกิดรู้เรื่องแม่ของเขาในตอนนั้น รู้เรื่องที่ตาของเขาถูกลงโทษอย่างหนักล่ะก็ เกรงว่า จะเคียดแค้นพวกเรา แล้วมาหาเรื่องพวกเราแน่ๆ ”

“ใช่น่ะสิ พี่สาม บัญชีเก่าเมื่อหลายปีก่อนถูกแม่เฒ่ารื้อกลับขึ้นมาหมดแล้ว”ผู้อาวุโสของตระกูลหลินคนหนึ่งขมวดคิ้วพูดขึ้น”ถ้าพวกเราไม่เตรียมพร้อมให้ดี เกรงว่าจะต้องเดือดร้อนไม่น้อยแน่ๆ ได้ยินมาว่าหลินอิ่งแห่งตี้จิงคนนั้น มีความสามารถ แถมก่อปัญหาสร้างเรื่องเก่งอยู่พอสมควรเหมือนกัน เบื้องหลังของเขา ก็ยังไม่รู้ว่ามีบุคคลระดับสูงคนไหนคอยควบคุมบงการอยู่”

“ที่เจ้าแปดพูดก็ถูก”น้องสามตระกูลหลินพูดชม”เรื่องนี้พวกเราต้องเตรียมพร้อมให้ดี”

“แต่ พวกนายก็ไม่ต้องเป็นห่วง หลินอิ่งแห่งตี้จิงอะไรนั่น ฉันไปสืบเสาะมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนเดียวเท่านั้น ฉันสนใจแค่ว่าเบื้องหลังของเขามีบุคคลระดับสูงคนไหนคอยชี้นำอยู่กันแน่ถึงสามารถสยบองค์กรตระกูลใหญ่ของตี้จิงที่ยิ่งใหญ่ได้”น้องสามตระกูลหลินค่อยๆ พูดขึ้น

“ส่วนน้องสิบสอง เขาไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับกลุ่มสันโดษมายี่สิบกว่าปีเต็มๆ ลำบากตรากตรำในโลกธรรม แรงจูงใจความทะเยอทะยานน่าจะไม่เหลือแล้ว”น้องสามตระกูลหลินพูดครุ่นคิดพิจารณา”ระยะเวลายี่สิบกว่าปี ต่อให้เป็นดาบไร้เทียมทาน ก็น่าจะขึ้นสนิทไปนานแล้ว”

“ในตระกูลหลินแห่งลังยาของพวกเรา น้องสิบสองไม่มีอิทธิพลเหมือนในตอนนั้นแล้ว ส่วนทักษะบูโดที่แตกฉาน ยี่สิบกว่าปีเขาหยุดอยู่กับที่ไม่มีการพัฒนา ไม่แน่ว่าอาจจะถดถอยลงด้วยซ้ำ”

“ดังนั้น พวกนายไม่ต้องกังวลการกลับมาของน้องสิบสอง ตอนนี้ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันเลยด้วยซ้ำ”

พูดจบ น้องสามตระกูลหลินก็หันมองผู้คนหนึ่งรอบ ดูท่าทางมั่นอกมั่นใจมากในสถานการณ์นี้

“ที่พี่สามพูดก็คือ น้องสิบสองไม่มีค่าให้พูดถึงอีกแล้ว จากอำนาจและความสามารถในตอนนี้ของพี่สาม การที่จะจัดการน้องสิบสองมันแทบไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”

คนตระกูลหลินคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างประจบประแจง

“ใช่ น้องสิบสองย้อนกลับไปตอนนั้นไม่ได้อีกแล้ว หลานชายคนนั้นของเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนเดียวเท่านั้น ถ้าพวกเขาเชื่อฟังแต่โดยดีก็ดีไป ถ้าไม่เชื่อฟังก็จัดการสั่งสอนซะ ตอนนั้นพี่สามสามารถกดให้น้องสิบสองตกต่ำลงได้ ตอนนี้ ก็ทำได้เหมือนกัน!”

“เหอะๆๆ “น้องสามตระกูลหลินหัวเราะอย่างพออกพอใจ ในตาแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

“ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการกับน้องสิบสองและหลานนอกคอกคนนั้นของเขายังไง ฉันมีแผนการแล้ว”

พูดเสร็จ น้องสามตระกูลหลินก็หันมองไปยังหลินเฉียน พร้อมกับพูดขึ้น”หลินเฉียน ลงเขาไปหาหลินอิ่งแห่งตี้จิงในครั้งนี้ นายก็ให้พวกของน้องห้าไป ต้องแสดงพลังความน่าเกรงขาม ให้หลินอิ่งได้รู้ว่า ต่อหน้าของพวกเราตระกูลหลินแห่งลังยา การที่เขาประสบความสำเร็จในโลกธรรมแค่นั้น มันไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงด้วยซ้ำ”

“นอกจากนี้ เรื่องที่เรียกน้องสิบสองกลับมา ฉันจะไปวางแผนเตรียมการเอง น้องสิบสองอยากที่จะกลับมาตระกูลหลินได้ แต่ก็ต้องให้เขาชดใช้อย่างน่าเวทนาเหมือนกัน ให้เขาได้รู้ว่า ตระกูลหลินรุ่นนี้ ใครเป็นใหญ่”

ในคำพูดของน้องสามตระกูลหลิน แฝงไปด้วยความเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนตระกูลหลินที่อยู่บริเวณนั้น ในใจต่างพากันสั่นกระส่ายอย่างช่วยไม่ได้

“ครับ ลุงสาม ตามแผนการของคุณเลยครับ”หลินเฉียนโค้งเอวพูดขึ้นด้วยความเคารพ

รุ่นสองของตระกูลหลิน พลังอำนาจของน้องสามตระกูลหลินกับพี่ใหญ่ตระกูลหลินถือว่าสูงที่สุด พละกำลังแข็งแกร่งที่สุด สายเลือดของพวกเขาทั้งสองคน ล้วนแต่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหลินแห่งลังยา

พี่ใหญ่ตระกูลหลิน ตอนนี้ไม่อยู่ที่ตระกูล แน่นอนว่าก็เป็นพี่สามที่ใหญ่ที่สุด

แต่เดิมตาของหลินอิ่ง หลินซวนหวา ก็เป็นผู้นำของตระกูลหลินเช่นกัน แต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนถูกทำให้ตกต่ำ ตกอยู่ในแผนการกับดักลอบทำร้ายของพี่สาม จนกลายเป็นขยะในสายตาของคนตระกูลหลินไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่นาน หลินเฉียนก็เริ่มปฏิบัติการ จัดเตรียมคนลงเขาไปหาหลินอิ่งที่ตี้จิง

……

ในอีกด้านหนึ่ง ตระกูลหลิน ภายในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิน

แม่เฒ่าตระกูลหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ มีชายชราผมหงอกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง สีหน้าเคร่งขรึม

“แม่เฒ่า ลูกศิษย์ของผมเหอซานจิน ยืนยันแล้วว่าตายโดยเงื้อมมือของหลินอิ่งตระกูลฉีแห่งตี้จิง”ท่านเฉินเฟิงมองแม่เฒ่า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

“กลุ่มสันโดษมีกฎของสันโดษอยู่ หลินอิ่งนั่น ผมไปตรวจสอบภูมิหลังของเขามาแล้ว ไมได้อะไรกลับมาเลย ประวัติที่มาของเด็กคนนี้ลึกลับสุดๆ ไม่มีร่องรอยเบาะแสทิ้งเอาไว้ในกลุ่มสันโดษเลย แต่ยืนยันได้ว่า เบื้องหลังของเขาจะต้องมีภูมิหลังของสันโดษที่แข็งแกร่งแน่นอน”

“อ๋อ?”แม่เฒ่าตระกูลหลินพูดขึ้นอย่างเงียบสงบ”ดังนั้น ตู้เฉินเฟิงนาย กำลังสงสัย ว่าหลินอิ่งเป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยาของพวกเราอย่างนั้นเหรอ? หมายความว่าพวกเรามอบหมายให้เขาฆ่าลูกศิษย์ของนาย?”

“ไม่ ไม่กล้าหรอกครับ!”ตู้เฉินเฟิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง”แม่เฒ่า ที่ผมมาขอพบตระกูลหลินแห่งลังยา ก็เพื่อมายืนยันความจริงเรื่องนี้ ว่าหลินอิ่งคนนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินหรือเปล่า? ถ้ายืนยันแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลิน ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะไปตามฆ่าที่ตี้จิง ล้างแค้นให้กับศิษย์ของผม”

“เหอะ”แม่เฒ่าตระกูลหลินยิ้มๆ ก่อนจะพูดขึ้น”ตู้เฉินเฟิง หลินอิ่งก็คือคนของตระกูลหลินแห่งลังยาของพวกเรา เป็นเหลนชายของฉันเอง นายก็คิดไตร่ตรองให้ดีๆ ก็แล้วกัน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท