ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 631 แจ้งให้ลงมือ

บทที่ 631 แจ้งให้ลงมือ

พอได้ฟังหลินหวูเว่ยวิเคราะห์มาแบบนี้ หลินเจว๋สายตาก็เปล่งประกาย จู่ๆก็เหมือนกับเข้าใจอะไรขึ้นมา

“พี่ห้า ความคิดของคุณฉลาดเฉลียวมากจริงๆ”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”แม่เฒ่าสีหน้าดูดีสุดๆ หลินอิ่งฉีกหน้าของตระกูลหลินจนหมดเกลี้ยง ขอแค่พวกเราใส่น้ำมันเข้าไปอีกหน่อย จะต้องส่งคนมาจับกุมตัวหลินอิ่งที่ตี้จิงด้วยความโกรธอย่างแน่นอน”

“ลุงสามกับตาของหลินอิ่งมีความแค้นต่อกัน ถ้ารู้ว่าหลินอิ่งมีพลังบูโดที่แข็งแกร่งขนาดนี้ จะต้องคิดหาวิธีกำจัดหลินอิ่งทิ้งไปแน่นอน”

หลินหวูเว่ยพยักหน้า พูดขึ้น”แน่นอนอยู่แล้ว”

“ครั้งนี้ พวกเราจะต้องคิดให้ดี ว่ากลับไปตระกูลหลินแล้วจะอธิบายยังไง ขอแค่ดำเนินการให้ดี ต่อให้ศิลปะการต่อสู้ของพวกเราถูกทำลายแล้ว ก็ยืมมือคนอื่นให้มาจัดการฆ่าหลินอิ่งได้ ลบล้างความอัปยศในอดีตไปซะ!”

พูดพลาง หลินหวูเว่ยก็เผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ชั่วร้าย พร้อมกับพูดขึ้น”แถมตาของหลินอิ่งหลินซวนหวาก็ถูกเรียกกลับมาที่ตระกูลหลิน ต่อให้ยังรับมือกับหลินอิ่งไม่ไหวในตอนนี้ แต่ก็สามารถไประบายความโกรธแค้นกับหลินซวนหวาได้นี่!”

“หือ? พี่ห้าข้อเสนอนี้ของคุณไม่เลวเลย”หลินเจว๋แววตาสั่น พูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน”ต่อให้หลินอิ่งจะมีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะต่ำต้อยของหลินซวนหวาตาของมันได้หรอก พวกเราก็ต้องคิดหาวิธีบีบคั้นกดขี่มัน ถึงตอนนั้นหลินอิ่งกลับมาตระกูลหลิน ก็จะลงเอยแบบตาของมัน”

“หึ”หลินหวูเว่ยสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน พูดขึ้นด้วยแววตาชั่วร้าย”บังอาจมาทำลายศิลปะการต่อสู้ของพวกฉันทั้งสองคน ต่อให้ฉันตาย ก็ต้องทำให้ไอ้เด็กหลินอิ่งนั่นชดใช้มาอย่างสาสม……”

“แต่น่าเสียดาย พวกเราสองคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ประเมินพลังของหลินอิ่งต่ำเกินไป ไม่อย่างนั้น คงไม่ถึงกับต้องตกต่ำลงมาถึงขั้นนี้”

หลินหวูเว่ยกับหลินเจว๋ทั้งสองคน รู้สึกไม่เต็มใจ แล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย

การไปที่ตี้จิงในครั้งนี้ ทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความอาฆาตแค้นไม่รู้จบ

ในใจ เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลินอิ่ง แทบอยากจะฆ่าหลินอิ่งทิ้งให้สาแก่ใจ

……

วันต่อมา

บริเวณทางเข้า สนามบินนานาชาติตี้จิง

หลินอิ่งพาฮาเดสลงมาจากรถ

จ้าวเฉิงเฉียนพายอดฝีมือสองคนมารอเขาเรียบร้อยแล้ว

“คุณชายอิ่ง ได้ยินว่าคุณจะเดินทางไกล จะปฏิบัติฝึกฝนที่นี่แทนคุณเป็นพิเศษเลยครับ”จ้าวเฉิงเฉียนพอเห็นหลินอิ่งลงจากรถ ก็พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ

หลินอิ่งหันมองจ้าวเฉิงเฉียนหนึ่งที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง”มีเรื่องอะไร นายก็พูดออกมาตรงๆเลย”

เมื่อวาน จ้าวเฉิงเฉียนก็โทรศัพท์มา คุยธุระกับตัวเอง

หลินอิ่งไม่ว่างรับสาย สั่งกำชับให้จ้าวเฉิงเฉียนมารอที่สนามบินวันนี้ มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันซึ่งๆหน้า

ในใจของเขารู้ดี ว่าจ้าวเฉิงเฉียนอยากที่เจรจาหารือเรื่องธุระที่ไปมณฑลจี้โจว

ก่อนหน้านี้คุยเรื่องนี้กับจ้าวเฉิงเฉียนลงตัวแล้ว ตอนแรกก็ตั้งใจที่จะไปปฏิบัติงานให้เต็มที่ จัดการสยบตระกูลเผยแห่งจี้โจว ขยายอำนาจอิทธิพลของตัวเองภายในแวดวงลึกลับ

แต่แค่ ตอนนี้ตัวเองอยู่ในระยะวัฏจักร ศิลปะการต่อสู้ยังไม่เฟื่องฟูถึงขีดสุด ถ้าอยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลเผยจริงๆ ก็ต้องทำการวางแผนให้ดีๆ

แถมในใจของหลินอิ่งก็ปล่อยวางจางฉีโม่ไม่ลงมาโดยตลอดด้วย

วางแผนที่จะกลับไปที่มณฑลตุงไห่ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

“คุณชายอิ่ง ถ้าอย่างนั้นผมไม่พูดเรื่องสัพเพเหระแล้วครับ”จ้าวเฉิงเฉียนไตร่ตรองอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”สถานการณ์ทางฝั่งของจี้โจวไม่ค่อยชัดเจน ไม่มีการสนับสนุนจากคุณแล้ว ผมไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงจับตาดูอยู่ครับ”

“ผมอยากถามคุณชายอิ่งสักหน่อย จะตัดสินใจได้เมื่อไร จะไปจี้โจวด้วยกันได้ตอนไหนครับ?”จ้าวเฉิงเฉียนพูดถามขึ้นด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลย

ถ้าพูดถึงเรื่องผลประโยชน์และการสูญเสีย เทียบกับสถานการณ์ของเมืองเทียนหลงแล้วก็ยังใหญ่กว่า

ถ้าทำดี เขากับหลินอิ่งก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดี แต่ละคนก็จะได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการ

หลินอิ่งนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง”อย่างสั้นครึ่งเดือน อย่างยาวหนึ่งเดือน”

เรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว เกี่ยวข้องกับเรื่องแผนการใหญ่ที่เขาจะยึดแก๊งมังกรคืนกลับมาอีกครั้งในอนาคต แล้วก็เป็นการเคลื่อนไหวก้าวแรกในแวดวงลึกลับเหมือนกัน

จะต้องระวังให้มากๆ

แต่ หลังจากที่ไปเมืองตุงไห่แล้ว ก็ยังต้องไปตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานด้วย

นี่มันต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเลย

จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้า พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”คุณชายอิ่ง เวลาหนึ่งเดือนก็ใกล้มาถึงแล้ว ทางฝั่งของตระกูลเผยผมจะคอยจับตาดูเอาไว้ ถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไร ผมจะแจ้งมาทางคุณทันที”

“ถ้าอย่างนั้นก็รอข่าวดีจากคุณชายอิ่งแล้วกัน”

จ้าวเฉิงเฉียนรู้ว่าหลินอิ่งมีเรื่องงานที่ต้องทำมากมาย ก็ไม่กล้าไปเร่งรัดหลินอิ่ง

ถึงยังไง เขาก็ขอให้หลินอิ่งทำเรื่องให้ พลังของหลินอิ่งก็อยู่เหนือกว่าเขา

“ใช่แล้ว จ้าวเฉิงเฉียน ครั้งที่แล้วที่นายบอกว่ามีกลุ่มคนลึกลับจ้องมองนายที่ตี้จิง มีเงื่อนงำเบาะแสบ้างแล้วยัง?”จู่ๆหลินอิ่งก็นึกอะไรขึ้นมาได้ พูดถามขึ้น

“อ๋อ?”จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าตกใจ ไม่คิดว่าหลินอิ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

“คุณชายอิ่ง ถือว่ามีเงื่อนงำบ้างแล้วครับ……”จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้วพูดขึ้น”คนกลุ่มนั้น น่าจะเป็นผู้มีอำนาจยักษ์ใหญ่ห้าอันดับแรกที่มาจากแวดวงลึกลับ ผมใช้สายลับที่เก่งกาจที่สุดในแก๊งหยางเหมินแล้ว ก็หาเบาะแสร่องรอยในตี้จิงของพวกเขาไม่เจอเลยแม้แต่นิดเดียว……”

“ผู้มีอำนาจยักษ์ใหญ่ห้าอันดับแรก?”หลินอิ่งรู้สึกสนใจ ไม่ได้สงสัยการตัดสินใจของจ้าวเฉิงเฉียนเลยแม้แต่น้อย

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ชักจะน่าสนใจขึ้นมาไม่น้อยแล้ว

ติ้จิง ก็ไม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างที่เห็น

เบื้องหน้า ตนเองควบคุมจัดการตี้จิงในทุกๆด้าน แต่เบื้องลึก ยังไม่รู้ว่าแอบซ่อนอำนาจอิทธิพลที่แข็งแกร่งแบบไหนเอาไว้อยู่

“คุณชายอิ่ง ถ้าคุณก็สนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน พอในอนาคตมีผลลัพธ์ออกมาแล้ว ผมจะรายงานแบ่งปันข้อมูลให้กับคุณแล้วกันครับ”จ้าวเฉิงเฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ก็ดีเหมือนกัน”หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าลังเลอยู่สักพัก มองหลินอิ่งหนึ่งทีก่อนจะพูดขึ้น”คุณชายอิ่ง มีอีกหนึ่งเรื่อง ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ควรพูดดี……”

หลินอิ่งชำเลืองตามองจ้าวเฉิงเฉียน ในใจพอจะรู้ว่าเขาคิดจะพูดอะไร

“ว่ามา”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดขึ้น”คุณชายอิ่ง ทางฝั่งน้องสาวของผม หลินเอ๋อร์ เธอฝากผมมาบอกอะไรบางอย่างกับคุณ หวังว่าคุณชายหลิ่งยังจำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอได้ตอนที่อยู่ที่ตระกูลจ้าวนะครับ”

“เรื่องนี้ ฉันรู้”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ”ฉันพูดแล้วไม่คืนคำ รอฉันว่างเมื่อไร ฉันจะกลับไปเติมเต็มความปรารถนาของเธอแน่นอน”

“คุณชายอิ่ง เรื่องนี้ หลินเอ๋อร์ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ผมก็เคยพูดโน้มน้าวเธอแล้ว ว่างานของคุณยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปทะเลกุหลาบเป็นเพื่อนเธอหรอก”จ้าวเฉิงเฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง”รอวันที่จะจัดการเรื่องของจี้โจวให้เรียบร้อยก่อน ผมเต็มใจที่จะไปคุ้มกันคุณชายอิ่งท่องเที่ยวทะเลกุหลาบด้วยตัวเองเลยครับ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

ทั้งสองคนพูดพจบ ก็ค่อยๆเงียบสงบลง หลินอิ่งเดินตรงเข้าไปภายในสนามบิน จ้าวเฉิงเฉียนพาคน ไปส่งอยู่ข้างๆ

ตรงมุมมุมหนึ่งในสนามบินนานาชาติตี้จิง ชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้านั่ง แววตาที่อยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำมืดมนถึงขีดสุด กำลังจ้องหลินอิ่งอยู่ไกลๆ

จนกระทั่งหลินอิ่งขึ้นเครื่องบิน ชายชุดดำก็ล้วงมือถือออกมา โทรศัพท์ออกไป

“แผนเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนิดหน่อย ตอนนี้หลินอิ่งขึ้นเครื่องบินที่จะบินกลับไปเมืองตุงไห่แล้ว แจ้งต่อไป ว่าให้ลงมือพาตัวของจางฉีโม่ได้เลย ต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อยก่อนหลินอิ่งจะถึงเมืองตุงไห่ ห้ามประมาทแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาดที่นายท่านสั่งกำชับพวกเราไว้!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท