ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 619 ตระกูลหลินแห่งเมืองลังยา

บทที่ 619 ตระกูลหลินแห่งเมืองลังยา

“หลินอิ่ง ต่อให้ผมตอบตกลง แต่คุณท่านของเรา เกรงว่าจะไม่สามารถยอมรับการบอกปัดนี้ของคุณหรอก” ฉู่หยุนซานพูดด้วยเสียงทุ้ม

เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินอิ่ง และไม่มีทางที่จะควบคุมหลินอิ่ง

จึงทำได้เพียงอ้างชื่อของคุณท่านของตระกูลตนออกมาเท่านั้น

หลินอิ่งพูดอย่างแน่วแน่ “ทางด้านคุณท่านฉู่ ผมจะเป็นคนจัดการเองครับ บุญคุณของตระกูลฉู่ ผมจำไว้ในใจเสมอ”

“พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”

เมื่อพูดจบ หลินอิ่งก็ลุกขึ้นแสดงท่าทีที่ชัดเจน

“นี่……” ฉู่หยุนซานหวังจะพูดอะไรอีก สีหน้ามีความไม่พอใจแสดงออกมา แต่กลับไม่กล้าที่จะอาละวาด

เพราะในน้ำเสียงของหลินอิ่ง แสดงออกถึงอำนาจบางอย่างที่ไม่สามารถต่อต้านได้

และสิ่งนี้ก็ทำให้คนท่องยุทธภพอย่างเขาเกิดความหวั่นไหวไม่น้อย

“ทั้งสองท่าน ผมยังมีธุระ ขออภัยที่ไม่สามารถอยู่เจรจาด้วย”

“ถ้าหากจะกลับเตียนหนาน ผมจะส่งคนให้ไปคุ้มกันครับ”

ฉู่หยุนซานขมวดคิ้ว รู้ว่าต่อให้ดึงดันพูดอะไรไปก็ไม่ประโยชน์จึงได้เพียงตอบรับ:”ก็ได้ หลินอิ่ง กลับไปแล้ว ผมจะให้คุณท่านของเราติดต่อหาคุณแล้วกัน”

หลินอิ่งไม่ได้อยู่ต่อนานนัก ก่อนจะปลีกตัวออกมา

สำหรับเรื่องของตระกูลฉู่ แค่ไปกล่าวต้อนรับก็เพียงพอแล้ว เพราะเขาไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความอีก

และนี่เป็นเพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของคนตระกูลฉู่ เขาจึงต้องทำการอธิบายโดยเฉพาะ เพื่อที่จะรักษาพันธมิตรเอาไว้

เมื่อออกมาจากห้องรับรอง สายตาของหลินอิ่งก็มองไปยังห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง ซึ่งหยูจื๋อเฉิงกำลังอยู่ด้านในให้การดูแลคนของตระกูลโครเมียร์

เมื่อเหลียวมองดู หลินอิ่งก็หันหลังกลับเดินไปขึ้นลิฟต์แล้วกลับไปยังห้องทำงานประธาน

ภายในห้องรับรองที่สอง

คุณชายโหมและแอนนากำลังนั่งอยู่บนดซฟา โดยมีหยูจื๋อเฉิงให้การดูแลพวกเขาอยู่

“ทั้งสองครับ คุณชายอิ่งได้บอกแล้วครับ ว่าไม่ว่างที่จะมาพบกับทั้งสองได้” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้น ทั้งสองท่านอย่าได้เสียเวลาอยู่ต่อเลยนะครับ ท่าทีของคุณชายอิ่งก็ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วนี่ครับ”

“ความต้องการของคุณชายอิ่งก็ได้แจ้งไปอย่างชัดเจนแล้วนะครับ สิ่งที่ควรบอกเขาก็เคยได้บอกกับพวกคุณไปก่อนหน้านี้แล้ว วันข้างหน้าเขาไม่ต้องการให้ตระกูลของพวกคุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี้จิงอีก”

“นี่?แม้แต่เวลาจะมาคุยด้วยคุณหลินก็ไม่มีเลยงั้นหรอคะ?” แอนนาขมวดคิ้วขึ้น พูดด้วยความวิตกเล็กน้อยพลางเหลือบมองไปยัง คุณชายโหม

คุณชายโหมกระแอมออกมา:”คุณหยู เห็นได้ชัดว่าคุณชายอิ่งได้เข้าไปพบกับคนของตระกูลฉู่แล้ว แต่กลับบอกว่าไม่ว่าง นี่คือการกระทำของเขางั้นหรอครับ ?”

“คือว่า?” หยูจื๋อเฉิงขมวดคิ้วแล้วสังเกตตัวคุณชายโหม ด้วยความไม่รู้ว่าชายสูงวัยต่างชาติคนนี้ที่อยู่ในห้องนี้ตลอด ไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

ดวงตาของชายต่างชาติคนนั้นลุ่มลึกดั่งหลุมดำ เต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่ราวกับกำลังกลืนกินคนเข้าไป

เมื่อจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รีบหลบตาโดยทันที

“ทั้งสองท่าน ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจความคิดของคุณชายอิ่ง” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเคร่งขรึมอีกครั้ง “คำพูดของคุณชายอิ่ง ผมก็ได้แจ้งออกไปหมดแล้ว เขาเพียงหวังว่าตระกูลของพวกคุณจะเข้าในสถานการณ์ และยืดตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ ให้ความร่วมมือและพัฒนาความก้าวหน้าในเมืองก่าง”

“และอีกอย่างที่บอกมาก็คือแจ้งให้ท่านเอิร์ลของตระกูลพวกคุณ ไม่ต้องเดินทางมาตี้จิงแล้ว เพราะคุณชายอิ่งไม่มีเวลาในการดูแล”

เมื่อพูดจบ หยูจื๋อเฉิงก็นิ่งสงบทันที

คุณชายโหมหรี่ตาลงพร้อมตอบกลับ:”คุณหยู คุณกลับไปบอกกับคุณชายอิ่ง ด้วยว่าพวกเราเข้าใจความต้องการของเขาแล้ว”

“แบบนี้ดีที่สุดครับ” หยูจื๋อเฉิงเองก็พยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืน “อย่างนั้นก็ขอตัวก่อนนะครับ”

เมื่อพูดจบ หยูจื๋อเฉิงก็เดินออกมาจากห้องรับรอง

เมื่อออกมาด้านนอก เขาถึงรู้สึกตัวว่าไม่รู้เพราะอะไรแต่หลังของเขามีเหงื่อชุ่มไปหมด

ชายสูงวัยข้างกายของแอนนา ดูเหมือนจะเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพลังที่น่าสะพรึงกล่าว ภายในความว่างเปล่ากลับสร้างความกดดันให้เขาอย่างมาก

หยูจื๋อเฉิงเคยฝึกหมัดสังหารของประตูตายแก๊งมังกรมาก่อน ทำให้เท้าข้างหนึ่งของเขาได้เหยียบย่ามเข้าไปในศิลปะการต่อสู้โบราณและมีความอ่อนไหวต่อคนประเภทนี้

พลางคิดไป หยูจื๋อเฉิงก็เดินขึ้นลิฟต์ไป เตรียมจะขึ้นไปรายงานกับหลินอิ่ง

รอกระทั่งหยูจื๋อเฉิงจากไปแล้ว ภายในห้อง สายตาของคุณชายโหมกลับยิ่งมองลึกเข้าไปมากกว่าเดิม

“คุณชายโหม แบบนี้ทำกันเกินไปแล้วนะคะ หลินอิ่งไปต้อนรับตระกูลของผู้หญิงที่ชื่อฉู่ฉู่ คนนั้น แต่กลับไม่มาพบเราเลยแม้แต่เสี้ยววินาที แบบนี้ไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว” แอนนาพูดด้วยความรู้สึกไม่พอใจ และแสดงท่าทีที่อิจฉาออกมา

คุณชายโหมตอบกลับอย่างเคร่งขรึม:”คุณแอนนา ฉู่ฉู่คนนั้นไม่ได้เป็นคนง่ายๆ เลยนะครับ เธอเป็นคนในแวดวงลึกลับของประเทศหลุง ตระกูลของเธฮมีตำแหน่งที่มีอิทธิพลสามารถเรื่องยากให้ง่ายได้อีกด้วย”

“ตามที่ผมรู้ ตระกูลฉู่เคยช่วยเหลือหลินอิ่ง ดังนั้นหลินอิ่งจึงไปต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง แบบนี้จึงไม่อาจที่จะไปกล่าวตำหนิเขาได้” คุณชายโหมพูดต่ออย่างใจเย็น “อีกอย่าง ตระกูลฉู่เหมือนจะมีความคิดที่จะหมั้นหมายกับหลินอิ่งด้วย และเรื่องนี้สำหรับคุณแอนนาแล้วไม่ใช่ข่าวดีอะไรนัก”

“ห๊า?” แอนนามีสีหน้าตกใจ ถึงกับแทบจะกัดปากถามออกมา “อย่างนั้น คุณชายโหม นี่ฉันจะไม่มีโอกาสแล้วหรอคะ?หลินอิ่งให้ความใส่ใจกับตระกูลของพวกเขาขนาดนี้ แถมยังเย็นชากับฉันขนาดนี้อีก”

“ถึงจะบอกว่าตระกูลฉู่นั้นจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าตระกูลโครเมียร์ แต่ก็ถือว่ามีอิทธิพลอย่างมากในประเทศหลุง แบบนี้คงต้องกลบตระกูลของพวกเราจนมิดแน่เลยค่ะ” แอนนาพูดอย่างทุกข์ใจ

การมีชีวิตอยู่ของฉู่ฉู่ ทำให้สร้างรอยแผลให้กับความมั่นใจของเธอไม่น้อยเลย

คุณชายโหมตอบกลับด้วยเสียงหนัก:”ก็ไม่เสมอไปครับ”

“คุณในฐานะทายาทผู้สืบทอดตระกูล จำเป็นต้องมีคนทรงอำนาจอย่างหลินอิ่งมาสนับสนุน ส่วนหลินอิ่ง ที่อยู่บนเกมของโลกนี้ก็จำเป็นต้องมีพันธมิตรอย่างตระกูลโครเมียร์เช่นกัน” คุณชายโหมพูดอย่างเชื่องช้า “ความช่วยเหลือและแรงสนับสนุนของตระกูลฉู่ สำหรับหลินอิ่งยังไม่มากพอ”

“เพียงแต่ว่ายังต้องรอเวลาเท่านั้น” คุณชายโหมพูดอย่างจริงจัง “คุณแอนนา คุณจะต้องมีความอดทน ช่วงนี้พวกเราก็อาศัยอยู่ในประเทศหลุงไปสักพักก่อน จะได้ติดตามหลินอิ่งตลอดเวลา”

“ส่วนทางด้านของท่านเอิร์ล ผมจะรวบรวมข้อมูลใหม่แล้วค่อยรายงานใหม่อีกครั้ง แล้วเฝ้ารอดูแผนการของท่านเอิร์ล”

แอนนาพยักหน้ารับ:”ก็คงทำได้แค่นี้แล้วค่ะ งั้นก็รอดูว่าคุณปู่จะว่ายังไง”

บนชั้นสูงสุดของอาคารดวงดาว

หลินอิ่งวางมือบนราวบันได สายตาลุ่มลึก จ้องมองไปยังตี้จิงมหานครที่แสนพลุกพล่าน

เมื่อมองลงไป ทุกอย่างล้วนอยู่ในความเจริญรุ่งเรือง

เมื่อมองย้อนกลับมาเรื่อยๆ ก็เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่กำลังส่องสะท้อนแสงดวงดาว

นี่คือโครงการที่ตอนนั้นเขาทำขึ้นให้กับฉีโม่

ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าฉีโม่ที่อยู่ในมณฑลตุงไห่จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เรื่องวันนั้นยังไม่ทันไม่พูดให้ชัดเจน ก็ต้องรีบมายังตี้จิงเพื่อจัดการภารกิจแล้ว

พูดตามตรงเลยว่าตอนนี้เขารู้สึกคิดถึงหญิงสาวที่ไร้เดียงสาไร้การเสแสร้งคนนั้นเหลือเกิน……

……

ภาคตะวันออกประเทศหลุง ริมฝั่งทะเล มณฑลชางโจว

ณ เมืองลังยา

ภายในเทือกเขาลังยาที่ไร้เขตสิ้นสุด มีอาคารเก่าแก่ที่เป็นเหมือนกับแดนเนรมิตตั้งตระหง่านอยู่ ทั้งพระราชวังและคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันท่ามกลางบรรยากาศที่งดงาม

เขาลังยา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก แยกตัวจากโลกธรรม

ในแวดวงลึกลับ ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศิลปะการต่อสู้

ตระกูลหลินแห่งเมืองลังยา

ในแวดวงลึกลับประเทศหลุง เป็นผู้นำหกตระกูลในแวดวงลึกลับ เป็นที่รู้จักกันในนามตระกูลใหญ่อันดับหนึ่ง และมีพลังแข็งแกร่งในแวดวงลึกลับระดับต้นๆ

พวกเขาเป็นตระกูลแห่งแวดวงลึกลับที่แท้จริง ไม่เคยแปดเปื้อนด้วยเลือดคนธรรมดาเลย

ในโลกธรรม คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลหลินแห่งเมืองลังยานั้นมีอยู่จริง

ตอนนี้ ณ โถงใหญ่ของตระกูลหลิน

หญิงชราคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าสลักหยกกำลังนั่งอยู่บนแท่นที่นั่งเก้าอี้ไท่ซือด้วยท่าทีโออ่าผ่าเผย ใบหน้าเคร่งขรึม นอกจากนี้ยังมีคนสูงวัยอีกหลายคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่ตั้งอยู่ข้างๆ อีกด้วย

ส่วนบริเวณด้านล่างมีชายวัยกลางคนที่มีชื่อเสียงไม่ธรรมดาหลายคนกำลังนั่งอยู่

“แม่เฒ่า ท่านเฉินเฟิงแห่งหุบเฉินเฟิงได้เดินทางมายังหุบเขาลังยา อยู่ด้านนอกและร้องขอที่จะเข้าพบครับ” ชายในชุดราชวงศ์ถังคนหนึ่งกล่าวรายงานขึ้นมา

“ท่านเฉินเฟิงมาถึงแล้ว?” แม่เฒ่าตระกูลหลินหรี่ตาลงพูด “เรื่องที่ฉันให้เธฮไปตรวจสอบหลินอิ่งหรือคุณชายอิ่งอะไรคนนั้นแห่งตี้จิง สรุปแล้วเขาใช่ลูกชายของซูชิงคนนั้นหรือเปล่า?”

ชายในชุดราชวงศ์ถังแสดงสีหน้าลังเลก่อนจะตอบกลับอย่างสุขุม:”ผมได้ตรวจสอบมาแล้ว เป็นเช่นนั้นจริงครับ คุณชายอิ่งที่ตอนนี้กำลังโดดเด่นรุ่งเรืองอยู่ในตี้จิง เป็นลูกชายของคุณป้าซูชิงจริงครับ”

“หึ!” แม่เฒ่าตระกูลหหลินสบถเสียงเยาะเย้ยออกมา “ซูชิงคนนั้น ตอนนั้นดึงดันที่จะตัดขาดกับตระกูลหลิน เพื่อที่จะแต่งงานกับเจ้าหนุ่มตระกูลฉีคนนั้นน่ะหรอ ?สุดท้ายก็ถูกเขาขับไล่ออกจากตระกูล ก็ยังไม่ยอมกลับมารับผิดต่อตระกูลหลิน แต่กลัให้ลูกชายแซ่หลิน นี่ก็แสดงว่านึกเสียใจแล้วงั้นสิ ?คิดอยากให้ลูกชายกลับสู่วงศ์ตระกูล กลับไม่ยอมก้มหัวกลับมารับผิดต่อตระกูลหลินเนี่ยนะ ?”

“คราวนี้ เด็กป่าเถื่อนอย่างหลินอิ่งที่เธอคลอดมา ยังไปฆ่าคนของหุบเฉินเฟิง แบบนี้ยังคิดจะให้พวกเราตระกูลหลินไปตามเช็ดอีกหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท