ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 634 เกิดเรื่องขึ้น

บทที่ 634 เกิดเรื่องขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉีโม่ พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็โมโหแล้วเหรอ?”ลู่ฉ่ายเชียพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ”กว่าจะได้มาทานข้าวที่บ้านป้าสักมื้อมันไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ แถมยังมาโยนตะเกียบอีก? ทำตัวอะไร?”

จางฉีโม่สายตารู้สึกไม่เป็นธรรม ถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งที พูดขึ้น”ป้า วันนี้ฉันไม่ค่อยอยาก กินอิ่มแล้ว จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย พวกคุณค่อยๆทานแล้วกัน”

“เหอะ คนบางประเภท คิดว่าตัวเองเป็นประธานของบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว คำพูดคำจากับผู้อาวุโสในครอบครัว เหมือนกับกำลังพูดสั่งสอนลูกน้องอย่างไรอย่างนั้น”

ไอ้เฉียนพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ”ฉันออกไปทำมาหากินทำธุรกิจในสังคมมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นประธานคนไหนที่พูดจาแบบนี้มาก่อน”

“มีคำโบราณพูดเอาไว้ดีมาก ยิ่งเจริญก้าวหน้าเท่าไร ก็ต้องยิ่งถ่อมเนื้อถ่อมตัวต่อผู้อาวุโสเท่านั้น ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ ก็จะชอบแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ชอบโมโห คำพูดนี้พูดได้ถูกต้องจริงๆ”

พอได้ฟังแบบนี้แล้ว กำปั้นของจางฉีโม่ก็สั่นเล็กน้อย เบะปากอยากที่จะระเบิดโมโหออกมา

แน่นอนว่าเธอเข้าใจอย่างดี ว่าลุงไอ้เฉียนกำลังเยาะเย้ยเธออยู่

แต่แค่ นิสัยและการฝึกอบรมบ่มเพาะมาของเธอ ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่เหมือนกับแม่ของเธอลู่หย่าฮุ่ย ต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับกลุ่มคนแบบนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

“เอาล่ะไอ้เฉียนคุณพูดอะไร? ถึงยังไงคนเค้าก็เคยเป็นประธาน เคยนั่งรถหรู เคยอาศัยอยู่ในวิลล่าใหญ่โตมาก่อน ครอบครัวพวกเราไม่มีความสามารถนี้หรอก อย่าไปว่าคนเค้าเลย ใช่ไหมล่ะ? “ลู่ฉ่ายเชียก็พูดขึ้นอย่างคลุมเครือเช่นกัน

“ก็ใช่ ใช้ชีวิตอย่างดีเลยนี่ ใช้ชีวิตดีจนขนาดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรของบริษัทเลย งานก็ไม่มีแล้ว สามีก็ไม่รู้ว่าวิ่งแจ้นไปที่ไหนแล้วด้วย”ไอ้เฉียนพูดด่าแซะถึงอีกคน”เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ คนในตระกูลจะช่วยเหลือ ก็ยังทำตัวเย่อหยิ่งอีก”

สองสามีภรรยาลู่ฉ่ายเชียยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห

ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงทั้งสองคนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยความอึดอัด สีหน้าดูไม่ดี

พวกเขาสองคนอยากที่จะโต้เถียง แต่กลับไม่มีความกล้ามั่นใจพอ

ถึงยังไง ครอบครัวของพวกเขาไม่มีหลินอิ่ง ก็ตกอับแล้วจริงๆ

ไม่มีชายที่มีความสามารถเก่งกาจ เดินข้างนอกเจอคนกล่าวหาตำหนิ ก็ไปหาเรื่องท้าทายอะไรไม่ได้

จางฉีโม่ฟังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว โกรธจนสั่นไปทั้งตัว ไม่ได้โต้ตอบกลับ เปิดประตูเดินออกไปทันที

หลังจากที่เสียงฝีเท้าดังขึ้นแล้ว จางฉีโม่ก็ขึ้นลิฟต์ เดินออกมาจากตึกนี้คนเดียว

มาถึงภายในชุมชน ในตาที่สวยงามของจางฉีโม่ก็มีน้ำตาคลอเบ้า ตาเริ่มแดง มุมปากที่ยุบลงไปเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างหมดหนทาง

ในตอนนี้ เธอคิดถึงหลินอิ่งมากจริงๆ

สมมติว่าหลินอิ่งอยู่ข้างกาย จะต้องไม่มีทางให้เธอต้องรู้สึกสุดที่จะทนขนาดนี้แน่นอนใช่ไหม?

เธอก็คงจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ ไร้ที่พึ่งพิงขนาดนี้

หลินอิ่ง จะต้องไม่ทำให้เธอต้องได้เจอกับความไม่เป็นธรรมแบบนี้แน่นอนใช่ไหม?

เมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ขอแค่หลินอิ่งอยู่ข้างกาย ก็จะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างมากอยู่ภายในใจ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร หลินอิ่งก็มักจะสามารถแก้ไขคลี่คลายมันได้อย่างง่ายๆสบายๆ และสงบนิ่ง

จางฉีโม่หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า โทรออกไปหาหลินอิ่งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

เธอก็เหม่อมองอยู่แบบนี้ กลับไม่กล้าโทรออกไป

ช่วงนี้ ภาพแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

จางฉีโม่อยากที่จะโทรไปหาหลินอิ่งมากๆ แต่กลับไม่ยอมเริ่มสักที……

ในใจของเธอก็ไม่รู้ว่า หลินอิ่งจะกลับมาเมืองตุงไห่ไหม……

ถึงขนาดที่ จางฉีโม่ยังสงสัยอยู่ภายในใจ ว่าหลินอิ่งยังจำเธอ ผู้หญิงคนนี้ได้อีกไหม

ถึงยังไง หลินอิ่งก็มีอำนาจอิทธิพลทางการเงิน มีเครือข่ายเส้นสายมากมาย โดดเด่นมากขนาดนั้นในตี้จิง จะขาดผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ?

แล้วตัวเองมีสิทธิ์อะไรที่ทำให้หลินอิ่งต้องมารักใคร่ขนาดนี้?

คิดไปพลาง จางฉีโม่ก็เหม่อลอย เดินออกมาจากชุมชนหลิวเยว่ มาเดินเล่นที่ริมถนน

บรื้นๆๆ!

ในตอนนี้ มีรถยนต์สีดำคันหนึ่งจู่ๆก็เลี้ยวมาอย่างเร่งรีบ มาจอดอยู่ตรงหน้าของจางฉีโม่

โครม ชายชุดสูทสีหน้าท่าทางเย็นชาสองสามคนลงมาจากรถ พุ่งกระโจนเข้ามาจับตัวเอาไว้

“พวกแกเป็นใคร?”

จางฉีโม่ตกใจยกใหญ่ ถอยไปข้างหลังทันที

ในตอนนี้เอง บนถนนที่อยู่ไม่ไกลออกไป ภายในรถSUVสีดำสองสามคันที่จอดอยู่ จู่ๆไฟคู่ก็สว่างขึ้นมา

“พี่จุน มีคนมาหาเรื่องคุณนายหลินครับ!”

“ใครหน้าไหนกัน? ช่างใจเด็ดจริงๆ!รีบลงจากรถ คุ้มกันคุณนายหลินเดี๋ยวนี้!”

ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงปิดประตูรถดังขึ้นมาสองที บอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งกำยำกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถSUVสองสามคันนั้นอย่างรวดเร็ว

หลิวจุนเป็นคนนำทีมเอง นำคนฝีมือดีสิบกว่าคน มาล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว

พวกนี้ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ที่เมืองชิงหยูนของเสิ่นซานทั้งสิ้น เป็นกำลังหลักหัวกะทิที่เขาเอาไว้ติดตัว

ปกติแล้วตอนที่อยู่ที่เมืองชิงหยูน เสิ่นซาน ปฏิบัติตามคำสั่งของหลินอิ่งอย่างเคร่งครัด เตรียมรถหลายคัน ตามจางฉีโม่อย่างอย่างเงียบๆ คอยแอบคุ้มกันความปลอดภัยของคุณนายหลินอยู่ตลอดเวลา

ครั้งนี้ จางฉีโม่มาจากถิ่นไกลมายังอำเภอเจียงเยว่ เสิ่นซานก็ปล่อยวางเรื่องงานทั้งหมดไปไม่ได้ แอบมาที่อำเภอเจียงเยว่อย่างลับๆ เตรียมหลิวจุนคนที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดข้างกาย ให้นำคนไปปกป้องคุณนายหลินตลอดเวลา

“คุณนายหลิน คุณไปอยู่ข้างหลังก่อน ประธานหลินให้พวกเราปกป้องคุ้มกันคุณตลอดเวลาครับ”

“หลิว หลิวจุน?”จางฉีโม่ได้ยินคำว่าคุณนายหลิน สีหน้าก็ประหลาดใจอยู่สักพัก มองไปยังหลิวจุน พอจำได้แล้ว จู่ๆสายตาก็ตกตะลึงไป

ในเวลานี้ อารมณ์ของเธอยุ่งยากซับซ้อนมาก

เธอรู้ ว่าหลิวจุนกับเสิ่นซาน ต่างก็เป็นคนของหลินอิ่ง

ที่แท้ หลินอิ่งยังสนใจตัวเองอยู่ ถึงขนาดที่ให้พวกหลิวจุนตามมาถึงอำเภอเจียงเยว่

จางฉีโม่ รู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลเวียนอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้

“พวกแกเป็นคนของใคร? มาหาที่ตายใช่ไหม? ถึงได้กล้ามาหาเรื่องคุณนายหลิน?”

หลิวจุนมาบังเอาไว้ข้างหน้า มองชายชุดสูทกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากรถยนต์สีดำด้วยความโกรธ

ชายชุดสูทที่สีหน้าท่าทีเย็นชากลุ่มนั้น ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของหลิวจุน สายตาไม่เปลี่ยนแปลงใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว

ปึ้ง!

จู่ๆ ชายชุดสูทที่เป็นหัวหน้าก็ลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง ร่างกายเร็วดุจสายฟ้า พุ่งเข้ามาเตะหลิวจุนกระเด็นถอยออกไปไกลหลายสิบเมตร

“อั่ก!”

หลิวจุนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ตัวกระเด็นเข้าไปชนกับกำแพงคอนกรีตของชุมชน เป็นหลุมขนาดใหญ่ ก่อนจะล้มลงบนพื้นอย่างจังกระอักเลือดออกมา

เขาเลือดกบปาก ใบหน้าตกใจกลัว มองออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หลิวจุนอยู่ภายในมณฑลตุงไห่ ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจไม่น้อย มีความสามารถในการตัดดาบด้วยมือเปล่า!แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึง ว่าคนกลุ่มนี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้?

“นี่มัน!”

“พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้!”

โครม ในตอนนี้เอง บอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่หลิวจุนพามา หลังจากที่ตกใจกลัวแล้ว ก็ตอบสนองกลับมาทันที ทยอยกันชักปืนออกมาจ่อไปที่ชายชุดดำ

ปังๆๆ!

ในช่วงเวลาที่ผ่านไปรวดเร็ว ชายชุดดำสองสามคนลงมืออย่างรุนแรงและว่องไว เก็บเรียบ จัดการบอดี้การ์ดที่ถือปืนสิบกว่าคนล้มลงไปนอนกองกับพื้น

ลงมือจนพวกเขาไม่มีแรงที่จะต่อสู้ แม้แต่โอกาสที่จะยิงยังไม่มี

“พวกแก……”จางฉีโม่ก็ตกใจกับภาพตรงหน้านี้ เอามืออุดปากด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

แต่เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกชายชุดดำที่สีหน้าท่าทางที่เย็นชาตบจนสลบไปก่อน จับตัวเอาไปโยนทิ้งไว้ที่เบาะหลังของรถยนต์สีดำ

ไม่นาน รถยนต์สีดำคันนี้ก็แล่นออกไปจากถนนสายนี้ หายลับไปจากสายตา……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท