ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 626 ตะโกนฆ่าพวกแกอีกครั้ง

บทที่ 626 ตะโกนฆ่าพวกแกอีกครั้ง

“ท่านอา ไอ้เด็กหลินอิ่งนี่มันไม่สนกฎฟ้ากฎดินเลย ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือต่อหน้าของท่าน!ท่านต้องสั่งสอนมันให้หนักเลยนะ!”

“ใช่ๆ !ท่านอา เด็กนี่ดื้อรั้น ถ้าท่านไม่สั่งสอนมัน กบก้นบ่อแบบมันจะต้องนึกว่าตัวเองเก่งกาจไร้เทียมทานกว่าใครแน่ๆ !ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น!”

ชายหนุ่มทั้งสองคนหลบอยู่หลังหลินเจว๋ กุมหน้าพร้อมกับพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม

พวกเขาต่างมองหลินอิ่งด้วยสายตาชั่วร้ายสุดๆ สีหน้าทั้งโกรธทั้งอายไม่น้อย

แล้วก็ไม่คิดว่า สถานภาพเป็นถึงลูกหลานของตระกูลหลินแห่งลังยาแบบพวกเขา เคยถูกคนนอกตบหน้าซึ่งๆ หน้าแบบนี้ที่ไหน?

จะมีสักกี่คนที่มีความกล้าขนาดนี้? คนของตระกูลหลินเชียวนะ คิดจะตบก็ตบง่ายๆ เลยเหรอ?

หลินเจว๋จ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าดำมืด กำมือหักนิ้วดังกร็อกแกร็ก เสื้อคลุมยาวชุดราชวงศ์ถังพลิ้วไสวแม้ไม่มีลม ดูมีรังสีที่ไม่ธรรมดา

“กล้ามาทำร้ายคนของฉันถึงที่แบบนี้ ที่ไว้ชีวิตพวกแกก็เพราะว่าฉันเห็นแก่หน้าของตระกูลหลิน”หลินอิ่งกวาดสายตามองอย่างเย็นชา”ถ้ายังหาเรื่องต่ออีกล่ะก็ พวกแกได้เละไม่เป็นท่าแน่ๆ ”

เขาเป็นคนที่ไม่ชอบมีเรื่อง

โดยเฉพาะ ตอนนี้กำลังเป็นช่วงที่พลังของตัวเองกลับมาอ่อนแอ ยิ่งควรที่จะซ่อนเร้นปกปิดพลังความสามารถของตัวเองเอาไว้ด้วย

ตระกูลหลินแห่งลังยา มียอดฝีมือมากมาย

ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคนตระกูลหลินสองสามคนตรงหน้านี้มาทำตัวกร่างยโสโอหัง ลงมือทำร้ายพวกหยูจื๋อเฉิงอย่างไม่สนถูกผิดล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ถูกยั่วยุง่ายๆ แบบนี้หรอก

“ตบหน้าพวกแกไปสองที ให้พวกแกได้เข้าใจคำว่า เคารพ คืออะไร”หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

พูดพลาง หลินอิ่งก็ชำเลืองตามอง ไปยังหลินเจว๋อย่างเยือกเย็น พร้อมกับพูดขึ้น”คุณอยากจะลองศิลปะการต่อสู้ของผม? คุณเหมาะสมเหรอ?”

“นี่แก!”หลินเจว๋สองตาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในใจหมดความอดทนกับท่าทียโสโอหังของหลินอิ่นเต็มทนแล้ว

สำหรับเขาแล้ว จากพลังสถานภาพของหลินอิ่ง ควรจะเคารพนอบน้อม ซื่อสัตย์เชื่อฟังแต่โดยดีสิถึงจะถูก!

“ได้ๆๆ !”

หลินเจว๋โกรธถึงขีดสุด พูดคำว่าได้ออกมาสามคำติด

“ฉันอยากจะดูว่าแกจะมีความสามารถแค่ไหน ถึงขนาดที่ไม่เห็นตระกูลหลินแห่งลังยาอยู่ในสายตาขนาดนี้!”

พูดจบ หลินเจว๋ก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว ร่างกายนั้นเคลื่อนไหวว่องไวรวดเร็วราวกับสายลมกระโชก

โครมๆๆ

จากการพุ่งตัวของหลินอิ่งที่รวดเร็ว ลมจากฝ่ามือที่รุนแรงส่งเสียงคำรามดังขึ้น พลังระเบิดออกมาอย่างรวดเร็วรุนแรง พลังฝ่ามืออันน่าสยดสยองเต็มไปด้วยความอาฆาต เล็งไปที่จุดสำคัญบนร่างกายของหลินอิ่ง

ในขณะเดียวกัน หลินอิ่งก็ตอบสนองกลับมา ร่างกายเปลี่ยนไปล่องลอยไม่คงที่ หายวับไปๆ มาๆ

ปัง!ปัง!ปัง!

ตอนนี้เอง ทั้งสองคนเข้าประชิดตัวกัน ปะทะฝ่ามือกัน เกิดเสียงระเบิดดังกระหึ่ม พื้นคอนกรีตแตกแยกออกจากกัน เสียงดังกึกก้องไม่จบไม่สิ้น สะเทือนไปทั่ว

ในสายตาของคนอื่น เห็นแค่ภาพที่สั่นๆ ของหลินอิ่งและหลินเจว๋เท่านั้น ร่างทั้งสองคนไม่สามารถจับจ้องได้ด้วยตาเนื้อ

ถึงขนาดที่ สมมติว่ามีคนธรรมดายืนอยู่ในห้องโถงต้อนรับ แก้วหูอาจจะทะลุเพราะถูกคลื่นเสียงระเบิดได้ ช็อกหมดสติไปตรงนั้นเนื่องจากพลังลมปราณที่น่าสะพรึงกลัว

การต่อสู้ของยอดฝีมือระดับนี้ คนธรรมดาแทบจะจินตนาการไม่ได้เลย มันน่ากลัวและโหดร้ายซะยิ่งกว่าฉากต่อสู้ของเทอร์มิเนเตอร์ในหนังเสียอีก

หลินเจว๋คนนั้น ก็สมแล้วที่เป็นคนโหดเหี้ยมที่มาจากตระกูลหลินแห่งลังยา พลังบูโดร้ายกาจมากๆ ไม่ใช่แค่มีศิลปะการต่อสู้ระดับโลกเท่านั้น แต่แผนการเล่ห์กลก็แยบยลลึกซึ้ง ทักษะการต่อสู้ก็ฉลาดเฉลียวยอดเยี่ยม

ฝ่ามือของเขาจู่โจมมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ทุกหมัดล้วนแต่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเจาะทะลุก้อนหินใหญ่ได้ รวมถึงท่วงท่าโจมตีที่ประสานเชื่อมโยงกัน หมัดต่อหมัด ม้วนกันราวกับเกลียวคลื่น เหมือนมีพลังรองรับที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ยากที่จะป้องกัน

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งก็รับมือได้อย่างง่ายดาย ร่างกายที่แปลกประหลาดเข้ากันกับฝ่ามือที่เลือนรางคลุมเครือ ต่อต้านการโจมตีที่รุนแรงของหลินเจว๋ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

บูม!

เสียงดังสะท้าน เศษหินลอยกระเด็น หลินเจว๋ถูกอัดลอยกระเด็นไปสิบกว่าเมตร ส่วนล่างโซซัดโซเซ มองมายังหลินอิ่งด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ส่วนหลินอิ่งไขว้มือข้างหลังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเงียบสงบ มองเงื่อนงำใดๆ ไม่ออกเลย

ในขณะที่ปะทะต่อสู้อย่างรวดเร็วนั้น ทั้งสองคนก็ซัดหมัดกันเป็นร้อยๆ หมัดแล้ว ถอดกระบวนท่าฝ่ามือออกมาได้สิบกว่าแบบ

เข้าใจในความเก่งกาจแตกฉานบูโดของกันและกันเป็นอย่างดี

“นี่มันเคล็ดลับศิลปะระการต่อสู้อะไร? ใครสอนแกมา?”หลินเจว๋มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าหนักอึ้ง พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

เขาคิดไม่ถึง ว่าการกระทะต่อสู้กันในครั้งแรก ไม่ได้เหนือกว่าหลินอิ่งเลยแม้แต่นิดเดียว กลับถูกอัดจนถอยออกมาด้วยซ้ำ

ถึงขนาดที่ แม้แต่เคล็ดลับศิลปะการต่อสู้ของหลินอิ่ง เขาก็ยังเข้าใจไม่แน่ชัด

นี่มันหมายความว่าอะไร?

ในเรื่องกำลังภายที่แข็งแกร่งในของหลินอิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยในเรื่องของความแตกฉานในวิชาการต่อสู้ ก็มากกว่าเขาไปหนึ่งระดับแล้ว

นี่มันทำให้ในใจของหลินเจว๋รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เด็กหนุ่มที่อายุยี่สิบกว่าๆ แค่คนเดียว จะแตกฉานในวิชาการต่อสู้อย่างลึกซึ้งและหลักแหลมกว่าเขาที่เกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงในสันโดษ ฝึกฝนทักษะวิชาเฉพาะอย่างหนักมาเป็นเวลาสิบปีตั้งแต่เด็กๆ กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมาช้านานอีกอย่างนั้นเหรอ?

หลินอิ่งชำเลืองตามองหลินเจว๋ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พร้อมกับพูดขึ้น”ผมบอกแล้ว ถ้าอยากมาลองศิลปะการต่อสู้ของผม คุณไม่เหมาะสมหรอก”

ที่เขาฝึกฝนมา ก็คือทักษะวิชาเฉพาะเทพ ความลับสุดยอดของแก๊งมังกร เป็นความลับที่ไม่แพร่กระจายสู่ภายนอก มีแค่ประมุขแก๊งมังกรในอดีตเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะรู้

เหมือนกับอาจารย์กู้ต้าคนนั้นที่อาศัยการปิดกั้นตัวเองของอาจารย์ ตอนที่ตัวเองล่าถอยปลีกตัวไป แย่งชิงอำนาจของแก๊งมังกรไป แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่าทักษะวิชาเฉพาะของประมุขแก๊งมังกรคืออะไรอยู่ดี

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนของสันโดษระดับนี้แบบหลินเจว๋ จะมองเคล็ดลับศิลปะการต่อสู้ของเขาออกได้ยังไง?

ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงวัฏจักร เหมือนกับหลินเจว๋

หลินอิ่งใช้แค่มือเดียว ก็สามารถทำให้ตายคาที่ได้ภายในเวลาสิบวินาที

“หยิ่งผยองจริงๆ !แกอย่านึกว่าเรียนศิลปะการต่อสู้กับคนข้างนอกมานิดหน่อยแล้วจะมาทำอวดเบ่งโห่ร้องต่อหน้าตระกูลหลินได้นะ”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”หลินอิ่งแกก็แค่เหนือกว่าฉันเท่านั้น”

“ในตระกูลหลินแห่งลังยา ฉันก็เป็นแค่คนต่ำต้อยเท่านั้น ในตระกูลหลินมียอดฝีมือมากมาย แกจะสามารถรับมือได้สักกี่คนเชียว? จากพลังของแก จะกล้าท้าทายความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของตระกูลหลินไหม?”

หลินเจว๋ปากไม่ยอมแพ้ ใจก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

หลินอิ่งอายุยี่สิบกว่าปี มีพลังต่อสู้ขนาดนี้ เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์สุดๆ แต่ด้วยเหตุนี้ก็กล้าที่จะมาดูหมิ่นตระกูลหลิน นั่นมันเรียกได้ว่ากบในกะลาชัดๆ ช่างโง่เขลาและไร้เดียงสาสิ้นดี

ตัวเขารู้ดี ว่า บางทีพลังของตัวเองอาจจะสู้หลินอิ่งไม่ได้

แต่ ยอดฝีมือภายในตระกูลหลินแห่งลังยามีมากมาย มีเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่ไม่น้อย คนเก่งกาจไร้เทียมทานในระดับสวรรค์ก็ไม่ใช่น้อยๆ !

สำหรับเขาแล้ว ความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของตระกูลหลิน มากพอที่จะกำราบปราบปรามหลินอิ่งลงได้ย่างแน่นอน!

“คุณยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?”หลินอิ่งส่ายหัว ในแววตาแฝงไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

“ถ้าคุณยังจะโหวกเหวกโวยวายอีกล่ะก็ ผมฆ่าพวกคุณสามคนแน่นอน”

พอได้ฟังแบบนั้น หลินเจว๋สีหน้าก็เปลี่ยนไป รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่น่าเกรงกลัวแผ่ออกมาจากตัวของหลินอิ่ง

“ฮ่าๆๆ !”หลินเจว๋หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง”ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ !แกก็แค่ชนะฉันเพียงการต่อสู้เล็กน้อยเท่านั้น กล้ามาตะโกนว่าจะฆ่าใส่ฉันอย่างนั้นเหรอ?”

“เด็กน้อย แกอย่าบ้าไปหน่อยเลย!”หลินเจว๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน”ที่ควรจะบอกฉันก็บอกแกไปหมดแล้ว แกนึกว่าตัวเองสามารถเป็นศัตรูของตระกูลหลินได้อย่างนั้นเหรอ? ยอมเชื่อฟังคำสั่งกลับไปที่ตระกูลหลินกับฉันแต่โดยดีเถอะ ฉันขอเตือนแกเอาไว้!”

“ถ้ายุแหย่ให้ฉันโกรธ ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งทั้งหมดของแกในโลกธรรม ภายใต้ความโกรธของตระกูลหลิน จะมลายสูญสิ้นหายไปจนหมด!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท