ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 639 ความปรารถนาอันแรงกล้าของท่านมังกรดำ

บทที่ 639 ความปรารถนาอันแรงกล้าของท่านมังกรดำ

ยอดภูเขาเจียงเยว่

ภายในหุบเขาร้างไร้ผู้คน สายลมพัดช้าๆ บรรยากาศเงียบเหงา

ชายวัยกลางคนที่คลุมชุดดำทั้งตัวคนหนึ่ง ยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนยอดเขาอย่างแน่วแน่มั่นคง

เขายืนตัวตรงสง่างาม มองทอดยาวออกไป ตัวราวกับหอกที่พร้อมจะแทงทลายฟ้าได้ทุกเมื่อ ท่าทางน่าเกรงขาม ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

ภายใต้แสงจันทร์สลัวสาดส่องลงมาปกคลุมไปทั่ว ก็ยิ่งทำให้ชายชุดดำคนนี้ดูมีรังสีที่บอกไม่ถูก

เหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่พร้อมจะล่าเหยื่ออยู่ทุกเมื่อ ทำให้คนอื่นรู้สึกถึงอันตรายถึงขีดสุด

คนคนนี้ ก็คือท่านมังกรดำที่ทรงเกียรติและเลื่องชื่อแห่งแก๊งมังกรนั่นเอง

ข้างหลังของท่านมังกรดำ มีชายสวมหน้ากากสวมชุดสีดำยืนหลังตรงอยู่หนึ่งคน รักษาท่าทางเคารพนอบน้อมอยู่ตลอดเวลา

ห่างออกไปร้อยเมตร มีเงาของชายชุดดำอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนล้วนแต่เผยให้เห็นถึงท่าทางที่อันตรายชวนให้รู้สึกสะพรึงกลัว

คนกลุ่มนี้ ในมือของพวกเขาแต่ละคนล้วนแต่สวมถุงมือที่ส่องแสงเงินวูบวาบออกมา แฝงไปด้วยรังสีที่ประหลาดดุร้าย ดูแล้วเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอยู่ตลอดเวลา

“นายท่าน หัวกะทิองครักษ์มังกรดำมาครบหมดแล้วครับ แค่รอหลินอิ่งติดกับเท่านั้น “ชายชุดดำโค้งเอวพูดขึ้นด้วยความเคารพ

ท่านมังกรดำไม่ได้หันกลับมา สายตามองทอดยาวออกไป ดูเหมือนกำลังมองแสงดวงจันทร์อยู่

“เตรียมสิ่งของเสร็จแล้วยัง?”

ท่านมังกรดำเปิดปากพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ส่งเสียงแหบแห้งนิ่งลึกออกมา

“กราบเรียนนายท่าน ทั้งหมดเตรียมการไว้ครบหมดแล้วครับ” นายพลงูพูดรายงาน”ในระยะรอบๆหนึ่งร้อยลี้ไร้ซึ่งผู้คน ทุกทางออกของภูเขาเจียงเยว่ถูกปิดกั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆที่จะเล็ดลอดหูตาของพวกเราไปได้อย่างแน่นอน”

“ขอแค่หลินอิ่งเข้ามาแค่คนเดียว รับประกันได้ว่ามันจะไม่สามารถหนีออกไปจากยอดภูเขาเจียงเยว่ไปได้แน่นอน ถึงขนาดที่ไม่ต้องให้นายท่านออกแรงเลยด้วยซ้ำ”

“ดีมาก”ท่านมังกรดำพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ฉันเตรียมแผนการมาเป็นเวลานานขนาดนี้ ละทิ้งผลประโยชน์มากมายมหาศาลของตี้จิงและเมืองก่าง รอหลินอิ่งเข้าสู่ระยะวัฏจักร ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากมายขนาดนี้ การลงมือในครั้งนี้ จะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด”

“ถ้าเกิดข้อบกพร่องอะไรขึ้นมา นายพลงู ฉันจะตัดหัวของนายทิ้งซะ”

ท่านมังกรดำพูดขึ้นอย่างน่าเกรงขามสุดๆ ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามเด็ดเดี่ยวที่ทำให้คนไม่กล้าต่อต้าน

นายพลงูเหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก ก้มหน้าพูดขึ้น”ขอให้นายท่านวางใจได้ครับ ทุกอย่างจะดำเนินตามแผนของท่าน ไม่มีทางเกิดข้อบกพร่องใดๆแน่นอน”

เขาอยู่ข้างกายของท่านมังกรดำมาสิบกว่าปีแล้ว เข้าใจนิสัยใจคอของนายท่านคนนี้เป็นอย่างดี

ความเย็นชา ความนิ่งสงบ ความโหดเหี้ยมที่เด็ดขาด

ห้ามไม่ให้มีข้อบกพร่องใดๆทั้งสิ้น เรื่องจะต้องมั่นใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางลงมือเบาๆอย่างแน่นอน

ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อจะจัดการให้อยู่หมัด

นี่ก็คือวิธีการของท่านมังกรดำ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่มาเจอกับคนที่โหดเหี้ยมแบบหลินอิ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเกี่ยวข้องกับโอกาสและแผนการที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่านมังกรดำ

เขาแทบจะคิดคำนวณสถานการณ์ทั้งหมดทั้งมวล คิดวิเคราะห์ในทุกๆขั้นตอนย่างก้าวอย่างแม่นยำเอาไว้หมดแล้ว

วิชาลับแก๊งมังกรที่ตัวของหลินอิ่ง ท่านมังกรดำสามารถละทิ้งทั้งหมดทั้งมวล ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เสียดายที่จะยอมเสียสละทิ้งไป เพื่อที่จะได้มันมา

ถึงยังไง นั่นก็เป็นความลับที่ตอนนี้อาจารย์กู้ต้าประมุขแก๊งมังกรยังไม่สามารถได้รับมาได้!

ภายในแวดวงลึกลับของประเทศหลุง เป็นเคล็ดลับล้ำค่าชั้นสูงที่สุด

เป็นเคล็ดลับล้ำค่าชั้นสูงที่เจ้าของศิลปะการต่อสู้โบราณจำนวนมากมายต่างใฝ่ฝัน ทำให้ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแวดวงลึกลับจำนวนมากมายต่างอยู่กันไม่สงบ

ถ้าประกาศสถานภาพของหลินอิ่งทายาทแก๊งมังกรออกไปในแวดวงลึกลับ กระจายข่าวที่ว่าเขากุมเคล็ดลับระดับสูงของแก๊งมังกรออกไปล่ะก็

จะต้องทำให้เกิดสงครามโชกเลือดที่ไม่มีที่สิ้นสุดภายในแวดวงลึกลับขึ้นอย่างแน่นอน ถึงขนาดที่จะทำให้แบบแผนของทั้งโลกต้องปั่นป่วน แม้แต่โลกมืดนอกประเทศก็จะมาตามไล่ฆ่าหลินอิ่ง

แต่ความลับนี้ มีแค่ตัวหลินอิ่งกับท่านมังกรดำเท่านั้นที่รู้

หลังจากที่ท่านมังกรดำได้รับรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของหลินอิ่งแล้ว ก็ไม่ได้บอกอาจารย์กู้ต้าประมุขแก๊งมังกรคนปัจจุบัน แม้แต่ท่านมังกรเขียวที่อยู่ใกล้ตี้จิงเองก็ยังไม่รู้สถานภาพที่แท้จริงของหลินอิ่ง

เป้าหมายของเขาก็คือต้องการที่จะฮุบเอาเคล็ดลับมาจากตัวของหลินอิ่ง แถมยังคิดที่จะเอาหลินอิ่งมาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตัวเองด้วย

ความปรารถนาอันแรงกล้าของท่านมังกรดำ ยิ่งใหญ่สุดๆ

ใหญ่ถึงขนาดที่อยากจะครอบครองแวดวงลึกลับของประเทศหลุงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว คิดที่จะก่อกบฏสร้างความโกลาหลให้กับแก๊งมังกร

คิดที่จะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง หลินอิ่ง ก็คือคนที่สำคัญที่สุดเพียงคนเดียว

“นายพลงู หลินอิ่งตอบกลับเหวินเทียนเฟิ่งว่ายังไง?”

จู่ๆ ท่านมังกรดำก็เปลี่ยนเรื่อง พูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

“กราบเรียนนายท่าน ตอนที่เหวินเทียนเฟิ่งถามหลินอิ่ง หลินอิ่งสีหน้าท่าทีนิ่งเฉยมาก แต่ในความจริง ผมสามารถได้ยินความหวั่นไหวภายในใจของเขา” นายพลงูพูดวิเคราะห์อย่างนิ่งสงบใจเย็น”หลินอิ่งให้ความสำคัญกับจางฉีโม่ภรรยาของมันมาก บางทีนี่อาจจะเป็นจุดที่เหมาะที่สุดที่จะลงมือจัดการ”

“หลินอิ่งก็พูดไว้แล้ว ว่ามันจะมาที่ยอดภูเขาเจียงเยว่ด้วยตัวเอง ผู้ชายแบบมัน ไม่มีทางละทิ้งผู้หญิงที่ตัวเองรักไปแน่นอน”

ที่นายพลงูกล้าพูดมาขนาดนี้ เพราะเขาก็รู้วิธีการในการจัดการเรื่องของผู้มีอำนาจใหญ่โตของแวดวงลึกลับเหมือนกัน

แต่คนที่ศิลปะการต่อสู้โบราณที่แตกฉานทั้งหมดไต่ขึ้นไปถึงขีดจำกัดแล้ว จะต้องมีความทะเยอทะยานของตัวเองแน่นอน

ถ้าเกิดความทะเยอทะยานพังทลายลง ก็เท่ากับว่าตัดขาดบูโดเช่นเดียวกัน

ถ้าหลินอิ่งนั่งดูผู้หญิงของตัวเองถูกทำร้าย ถ้าอย่างนั้น สภาวะจิตใจของบูโดจะต้องเกิดข้อบกพร่องขึ้นอย่างแน่นอน ต่อไปก็จะไม่สามารถก้าวหน้าไปได้อีก

“นายวิเคราะห์ได้ไม่เลว หลินอิ่งคนนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งถึงขนาดที่ตัวฉันเองก็ยังเกรงกลัว”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น”ถ้าไม่ใช่เพราะฉันรู้จุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงชีวิตทั้งสองอย่างของมันล่ะก็ ไม่รู้จริงๆว่าจะไปแข่งกับคนระดับนี้ได้ยังไง”

สำหรับท่านมังกรดำแล้ว หลินอิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงที่สมบูรณ์แบบ มีแค่จุดอ่อนที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตสองจุดเท่านั้น

อย่างแรกคือระยะวัฏจักรของบูโดที่ยากจะจับได้ ทำให้พลังอ่อนแอลง

ส่วนอีกอันก็คือจิตใจของหลินอิ่ง ที่มีความเสน่หามากเกินไป

“ถ้าอย่างนั้นจางฉีโม่เป็นยังไงบ้างแล้ว? คอยดูให้ดีแล้วใช่ไหม”ท่านมังกรดำพูดถามขึ้น

“นายท่าน ผมทำตามคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ทำให้จางฉีโม่ได้รับความบาดเจ็บเสียหายใดๆแม้แต่นิดเดียว”นายพลงูพูดรายงานอย่างเคารพ

“การที่จะสามารถปราบหลินอิ่งแม่ทัพที่ทรงพลังคนนี้ได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของจางฉีโม่คนนี้แล้ว”ท่านมังกรดำค่อยๆพูดขึ้น”ถ้าสามารถทำเรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่นานฉันก็จะสามารถเริ่มแผนการก่อกบฏ ก่อความโกลาหลที่แก๊งมังกรได้แล้ว……”

ท่านมังกรดำเห็นจุดจบที่สมบูรณ์แบบ นั่นก็คือปราบหลินอิ่งลงได้ แล้วได้เคล็ดลับของแก๊งมังกรมาครอบครอง

จากสถานภาพที่เป็นถึงทายาทของแก๊งมังกรของหลินอิ่งแล้ว ถ้าเอาออกมาก็จะสามารถได้รับการตอบสนองมามากมาย ท้าทายอาจารย์กู้ต้าภายในแก๊งมังกรได้อย่างแม้จริง แล้วเข้ายึดครองอำนาจควบคุมแก๊งมังกร

ถึงยังไง อิทธิพลของท่านประมุขแก๊งก็ยังอยู่ตรงนั้น แต่แค่ถูกอาจารย์กู้ต้ากดขี่เอาไว้ ไม่มีใครกล้าโผล่หัวลุกขึ้นมา

หลังจากนั้น ก็จะสามารถควบคุมหลินอิ่งหุ่นเชิดตัวนี้ได้ ควบคุมบงการทั้งแก๊งมังกร มีอำนาจอิทธิพลทั่วทั้งโลก

“ภายใต้การวางกลยุทธ์การบังคับบัญชาของนายท่าน เรื่องนี้ จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอนครับ”นายพลงูพูดขึ้นอย่างเคารพ

“เหอะ”ท่านมังกรดำหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ส่ายหัว”ในโลกนี้ได้อย่างก็เสียอย่าง”

“นี่เป็นเพียงแค่การคำนวณผลลัพธ์ของสถานการณ์เท่านั้น ถ้าหลินอิ่งอยู่เป็น ฉันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกับมัน แต่ถ้าอยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็จะทำให้มันสูญเสียทั้งภรรยาทั้งศิลปะการต่อสู้ ทนทุกข์ทรมานตลอดไป ชั่วชีวิตนี้จะต้องตกอยู่ในสภาวะที่เจ็บปวดทรมาน”

ตอนที่พูดคำพูดนี้ออกมา น้ำเสียงของท่านมังกรดำแฝงไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด ทำให้พอฟังแล้ว รู้สึกใจเต้น ตัวสั่นกระตุก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท