ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 638 มาที่ยอดภูเขาเจียงเยว่ตามลำพัง

บทที่ 638 มาที่ยอดภูเขาเจียงเยว่ตามลำพัง

บนที่นั่งเบาะหลังของรถเบนท์ลี่ย์สีดำที่กำลังแล่นอยู่บนถนนทางด่วน

หลินอิ่งสีหน้านิ่งลึกราวกับสายน้ำ ในมือถือโทรศัพท์

ในตาของเขาเย็นชา แฝงไปด้วยแรงอาฆาตอันแรงกล้า มีรังสีแผ่ออกมาจากตัว ทำให้ฮาเดสกับเจียงฉีที่อยู่บนรถต่างก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นขึ้นมา

“เป็นอะไรไป? หลินอิ่ง แกตื่นตกใจอย่างนั้นเหรอ?”

ในสาย มีเสียงที่ชั่วร้ายน่ากลัวของเหวินเทียนเฟิ่งดังขึ้นมา

หลินอิ่งนิ่งเงียบ ในตอนนี้ไฟโกรธแค้นที่อยู่ในใจของเขาต่อให้ใช้น้ำทั้งแม่น้ำมาสาดก็ไม่มอดดับไป

เขาคิดไม่ถึงว่า จะได้มาสนทนากับผู้หญิงชั่วร้ายแบบเหวินเทียนเฟิ่งอีกครั้ง ในสถานการณ์แบบนี้

ตระกูลเหวิน ก็เหมือนพวกตะขาบที่ตายยากตายเย็น

หลังจากที่ขจัดตระกูลเหวินในตี้จิงแล้ว

ตระกูลเหวินก็หลบซ่อนอยู่ในที่มืด ต่อมาก็อาศัยจี้ฉงซานแห่งเมืองก่างฉุดขึ้นมาจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก

แต่ไม่คิดว่าตระกูลเหวินยังจะสามารถสร้างเรื่องใหญ่โตแบบนี้ได้อีก

“หลินอิ่ง ถ้าแกยังไม่พูดอะไรอีก ฉันก็จะให้จางฉีโม่พูดไม่ได้อีกต่อไป!”

ในสาย เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นอย่างชั่วร้ายน่ากลัว ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาข่มขู่

“ให้ฉีโม่มาคุยกับฉัน”

หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“เหอะ หลินอิ่ง ฉันยังนึกว่าแกจะไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับฉีเหอถูพ่อของแกซะอีก ดูท่า สำหรับเรื่องผู้หญิงแล้ว แกไม่ได้เด็ดเดี่ยวเหมือนกับพ่อของแกเลยสักนิด”

เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

เธอหันตัวไป ยิ้มอย่างชั่วร้าย มองไปยังจางฉีโม่ เอาโทรศัพท์ไปข้างๆตัว

ใช่แล้ว สำหรับเหวินเทียนเฟิ่ง จางฉีโม่ก็คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหลินอิ่ง

หลินอิ่งผู้ชายคนนี้ ลึกลับและทรงพลัง แทบจะไม่มีจุดอ่อนใดๆเลย

นิสัยก็ไม่มีจุดบกพร่องตรงไหนเลยด้วย แทบจะเป็นคนที่ไร้ที่ติคนหนึ่งเลย

มีจุดบกพร่องแค่จุดเดียวก็คือ ให้ความสำคัญกับภรรยาของเขามากเกินไป

จุดจุดนี้ เมื่อเทียบกับฉีเหอถูพ่อแท้ๆของเขาแล้ว ก็ต่างกันไม่น้อย การจะทำการใหญ่ จะมาหวั่นไหวกับผู้หญิงได้ยังไงกันล่ะ?

“พูดสิ ผู้ชายของเธอยังสนใจเธออยู่ หรือว่าเธอไม่อยากให้เขามาช่วยเธออย่างนั้นเหรอ จะมองเธอถูกทำร้ายร่างกายทั้งอย่างนี้?”

เหวินเทียนเฟิ่งก้มหน้า มองจางฉีโม่อย่างขี้เล่นพร้อมกับพูดขึ้น

จางฉีโม่สีหน้ายุ่งยากซับซ้อน ถูกล่ามเอาไว้กับเก้าอี้ขยับเขยื้อนไม่ได้

ในเวลานี้ ในใจของเธอก็ซับซ้อนเช่นเดียวกัน

เธอได้ยินคำพูดของหลินอิ่ง แล้วก็จินตนาการได้ว่าในตอนนี้อารมณ์ของหลินอิ่งเดือนพลุ่งพล่านขนาดไหน

ในเวลาเดียวกัน เธอก็ซาบซึ้งใจ ว่าหลินอิ่งยังคงให้ความสำคัญกับเธออยู่……

“ฉีโม่ คุณได้ยินผมพูดไหม?”

“มีผมอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัว”

ในสาย มีเสียงของหลินอิ่งดังขึ้นมา

พอได้ยินเสียงที่ห่างหายไปนานและคุ้นเคยเป็นอย่างดีเสียงนี้ ใจของจางฉีโม่ก็เริ่มหวั่นไหว

ใช่แล้ว แค่ได้ยินเสียงของหลินอิ่ง เธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมามาก ราวกับว่าภัยคุกคามทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น

จางฉีโม่ขอบตาเริ่มแดงด้วยความผิดหวัง

“ฉัน ฉันได้ยิน”จางฉีโม่พูดตอบ

“ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”จางฉีโม่พูดคำพูดนี้ออกไปอย่างควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ ไม่อยากให้หลินอิ่งต้องมาเป็นห่วงเธอ

“ดีๆไว้ ผมจะไปรับคุณเดี๋ยวนี้”

น้ำเสียงที่นิ่งเฉยแฝงไปด้วยความอบอุ่นของหลินอิ่ง ดังเข้ามาในหูของจางฉีโม่

ในเวลานี้ เธออึ้งตะลึงไป รู้สึกแค่ว่าใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ฉัน ฉัน……”จางฉีโม่สีหน้าสีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

“เอาล่ะ”เหวินเทียนเฟิ่งหยิบมือถือขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น”หลินอิ่ง แกได้ยินเสียงของภรรยาของแกแล้วสินะ? ตอนนี้เธอกำลังถูกฉันดูแลอย่างดี ไม่มีการสูญเสียอะไรแน่นอน”

“แต่ว่า ถ้าต่อไปแกไม่เชื่อฟังคำสั่งของพวกเราล่ะก็ ฉันก็ไม่กล้ารับประกัน ว่าจะเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นกับจางฉีโม่ภรรยาของแกหรือเปล่า”

“แกต้องการอะไร?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นอย่างไม่แยแส

“แน่นอนว่าฉันต้องการให้แกตายยังไงล่ะ!”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“แต่ว่า นายท่านยังไม่อยากให้แกตาย ให้โอกาสกับแก”

“นายท่าน? นายท่านของแก คือท่านมังกรดำ?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม

“เหอะๆ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หลินอิ่งแกรู้ถึงการมีอยู่ของท่านมังกรดำด้วยสินะ”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน”ถ้าอย่างนั้นในใจของแกก็น่าจะรู้ดี ว่าแกกำลังถูกคนที่แข็งแกร่งแบบไหนจับจ้องสนใจอยู่”

หลินอิ่งแววตาค่อยๆเปลี่ยนไปนิ่งลึก

นี่มันเป็นไปตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา ท่านมังกรดำต้องอยู่เบื้องหลังของตระกูลเหวินแน่นอน

การลักพาตัวของจางฉีโม่ไปในคราวนี้ คนที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังก็คือท่านมังกรดำที่คอยสอดแนมตัวเองอยู่ในความมืดมาตลอด

“นายท่านต้องการให้มอบวิชาลับเฉพาะของแกมาซะ”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”แกรู้ว่าสิ่งที่นายท่านต้องการคืออะไร เลิกแสร้งทำเป็นโง่ได้แล้ว”

“แถม นายท่านให้โอกาสแกหนึ่งครั้ง ขอแค่แก่ยอมมอบวิชาลับเฉพาะ ยอมใช้ยาคุมจิต ยอมจำนน นายท่านก็จะให้โอกาสแกได้แก้แค้น แล้วก็สามารถทำให้ครึ่งชีวิตของแกเจริญรุ่งเรืองได้อีกด้วย”

พอได้ฟังคำพูดนี้ มุมปากของหลินอิ่งก็ยกขึ้นยิ้มอย่างโหดร้าย

เขารู้ ว่าท่านมังกรดำ เล็งเป้าหมายมาที่วิชาเฉพาะของแก๊งมังกรของตัวเองอย่างแน่นอน

พลังระดับเทพที่ไม่ได้ตกทอดต่อนั่น แม้แต่อาจารย์กู้ต้า ยึดชิงไปทั้งแก๊งมังกรแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ของสิ่งนั้นไปเลย

เป็นวิชาเฉพาะที่อาจารย์กู้ต้าปรารถนาอยู่ภายในใจมาโดยตลอด

ได้รับสิ่งนั้นมา ถึงจะถือว่าเป็นประมุขแก๊งมังกรที่แท้จริง แล้วก็แก่นสำคัญที่ดำรงอยู่มาพันปีของแก๊งมังกรด้วยเหมือนกัน

จากท่าทีที่เหวินเทียนเฟิ่งแสดงออกมาเกี่ยวกับท่านมังกรดำ

หลินอิ่งก็สามารถวิเคราะห์แยกแยะออกมาได้

เรื่องที่ท่านมังกรดำแอบสอดแนมตนเองอย่างลับๆ มีแค่ตัวของท่านมังกรดำเท่านั้นที่รู้

คนอื่นๆของแก๊งมังกร ถึงขนาดที่อาจารย์กู้ต้าก็ไม่รู้ว่าท่านมังกรดำลงมือคนเดียว

ไม่อย่างนั้น ตัวเองก็ไม่มีทางพัฒนาก้าวหน้าอยู่ที่ตี้จิงได้อย่างมั่นคงขนาดนั้น แต่จะต้องเผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงของทั้งแก๊งมังกรแน่นอน

นี่ก็บอกได้ว่า ครั้งนี้ คนที่ตัวเองต้องเผชิญหน้าก็มีเพียงแค่ท่านมังกรดำคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่กองกำลังจำนวนมากของทั้งแก๊งมังกร

ดังนั้น มีโอกาสชนะแน่นอน

แถม หลินอิ่งก็พอจะอนุมานถึงแผนการที่มังกรดำแอบสอดแนมตนเองอย่างลับๆได้

ไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับตนเองแบบซึ่งๆหน้า แต่ไปลักพาตัวของจางฉีโม่แทน

แถมลงมือในช่วงเวลาที่ตนเองกำลังอ่อนแอลงพอดีเลยด้วย

ท่านมังกรดำคนนี้ รู้ว่าตนเองมีระยะวัฏจักร พอตัดสินได้อย่างแม่นยำแล้วว่าตนเองกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ จากนั้นก็ค่อยลักพาตัวเอ จัดการวางแผนให้ดีๆ

เรียกได้ว่าลึกซึ้งเจ้าเล่ห์มีอุบายสุดๆ

“เป็นยังไงบ้าง? หลินอิ่ง? นายท่านมีความเมตตาต่อแกพอแล้วยัง? ไม่ได้จะบีบคั้นแกให้ได้ตายสักหน่อย”เหวินเทียนเฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่น

“ขอแค่แกยอมเป็นหมาให้กับนายท่านอย่างเชื่อฟัง แกก็จะไม่มีอันตรายใดๆ ภรรยาของแกก็จะปลอดภัยไร้กังวล แต่ถ้าไม่ล่ะก็ ภรรยาของแกก็จะลงเอยอย่างน่าอนาถแน่นอน……”

เหวินเทียนเฟิ่งพูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงโหดร้ายน่ากลัว

“หลินอิ่ง คุณไม่ต้องไปฟังพวกเขา อย่าให้การใหญ่ของคุณได้รับผลกระทบเพียงเพราะว่าฉันเลย ฉัน……”

จางฉีโม่ตะโกนออกมาเสียงดัง น้ำเสียงเป็นห่วงสุดๆ

แต่เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกนายพลงูที่ยืนอยู่ใกล้ๆตบจนสลบไปก่อน

“เหอะๆ ผู้หญิงแบบเธอนี่มันไม่เลวเลยจริงๆ หลินอิ่ง ในเวลาแบบนี้ยังจะเป็นห่วงแกอยู่อีก”เหวินเทียนเฟิ่งพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน

“แกมาที่มาที่ยอดเขาเจียงเยว่ตามลำพังคนเดียว ระหว่างทางพวกเราจะติดต่อแกกลับไปอีก”

“ถ้าแกกล้าเล่นอะไรตุกติกล่ะก็ ฉันจะทำร้ายภรรยาของแกทันที”

พอข่มขู่เสร็จแล้ว เหวินเทียนเฟิ่งก็วางสายลง

หลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลัง ในตาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

ครั้งนี้ เขาจะต้องไป

เขาสัญญาไว้แล้ว ว่าในช่วงชีวิตนี้จะไม่ทอดทิ้งฉีโม่ไป

คำสัญญาของลูกผู้ชาย จะไม่มีทางล้มเลิกอย่างแน่นอน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท