ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 641 ขึ้นเขา

บทที่ 641 ขึ้นเขา

“พวกคุณสองคนเลิกเรียกร้องโทษทัณฑ์ให้ตัวเองได้แล้ว” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ “เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว เรื่องมันเป็นไปยังไง ก็จัดการไปตามนั้น”

“เสิ่นซาน หลิวจุนลูกน้องของคุณในโรงพยาบาลฟื้นรึยัง ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?” หลินอิ่งมองไปที่เสิ่นซาน แล้วถามออกไป

เสิ่นซานสะดุ้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ท่านหลิน หลิวจุนฟื้นแล้วครับ แต่เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ถ้าฟื้นฟูไม่ถึงครึ่งปีก็ยากที่จะกลับมาเป็นปกติได้ครับ ฟังจากที่เขาพูด ตอนนั้นเขาเข้าไปห้ามคนที่จะลงมือ แล้วถูกชกกระเด็นในหมัดเดียว จนเกือบตายคาที่ไปแล้วครับ?”

“ส่วนลูกน้องที่เหลือ โอกาสที่จะจับปืนยังไม่มีก็ถูกซัดจนลงไปนอนกับพื้นแล้ว”

หลินอิ่งวางแก้วชาลงช้าๆ แววตาค่อยๆ ลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ

“เสิ่นซาน ที่อำเภอเจียงเยว่คุณสามารถรวบรวมคนได้เท่าไหร่?” หลินอิ่งถาม

“เรื่องนั้น……” เสิ่นซานครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบไปอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหลิน ที่ผมมาอำเภอเจียงเยว่นั้นไม่ได้พาคนมาเยอะ แต่ผมสามารถสั่งการบอสใหญ่ในเมืองอำเภอได้แล้ว ผมจึงสามารถสั่งการกองกำลังในพื้นที่ได้ไม่น้อยเลยครับ”

“เรื่องกำลังคนนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ว่า ท่านหลิน ข้าน้อยคิดว่าการที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนชั่วพวกนั้น พี่น้องของข้าน้อยจะช่วยอะไรไม่ได้ครับ”

หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ผมเข้าใจแล้ว เสิ่นซาน คุณไปจัดคนมาทีมหนึ่ง เตรียมของให้พร้อม และพร้อมที่จะรอรับสัญญาณจากผมทุกเมื่อ”

“ท่านหลิน เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ไม่ทราบว่าท่านหลินจะให้ผมเตรียมคนไปที่ไหนเหรอครับ?” เสิ่นซานถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“พอได้รับคำสั่งจากผม ก็ให้ตามมาในตอนท้าย ถึงตอนนั้น ผมจะให้พิกัดอีกที” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

คนที่จะไปยังภูเขาเจียงเยว่ ต้องมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

ถ้าไปทำให้เจ้ามังกรดำโกรธเข้า กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับจางฉีโม่

ส่วนการให้เสิ่นซานรวบรวมคนนั้นก็เพื่อให้มาเก็บกวาดหลังเสร็จเรื่องแล้ว

“คุณไปเตรียมคนตั้งแต่ตอนนี้เลย” หลินอิ่งสั่ง “ตอนนี้ คุณกับเจียงฉีออกไปก่อน ผมยังมีคนที่ต้องไปคุยด้วยอีก”

“ครับ!”

“ครับ!”

เสิ่นซานกับเจียงฉีพยักหน้าด้วยความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องอย่างค้างคาใจ หลังออกจากห้อง ก็ทำตามคำสั่งของหลินอิ่ง เริ่มโทรศัพท์ไปจัดเตรียมกองกำลังหลังจากที่ทั้งคู่ออกไป

หลินอิ่งก็ยกชาขึ้นมาดื่ม แววตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่มากล้น

เรื่องที่ฉีโม่ถูกจับตัวไป มันทำให้เขาโกรธแล้ว

เขาแค่กำลังพยายามควบคุมอารมณ์ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง

เพราะว่า คู่ต่อสู้นั้นเป็นถึงท่านมังกรดำที่เป็นตัวตนระดับกลุ่มคนที่ซ่อนเร้นเลย ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็ไม่สามารถชนะศึกนี้ไปได้ และช่วยฉีโม่ไม่ได้ด้วย

การต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับรายการแห่งฟ้า แล้วยังต้องช่วยฉีโม่กลับมาอย่างปลอดภัยอีก

สำหรับหลินอิ่งแล้ว ถือเป็นแบบทดสอบที่ใหญ่หลวงมากๆ

นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาออกมาจากเขา มาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเป็นครั้งแรก

เขามีแค่ตัวคนเดียว สามารถต่อกรกับท่านมังกรดำกับลูกสมุนที่แข็งแกร่งของท่านมังกรดำอย่างองครักษ์มังกรดำได้

โดยเฉพาะสถานการณ์ที่อีกฝ่ายมีตัวประกันอยู่ในมือ ถ้าต้องการผ่านพ้นมันไป ก็จำเป็นต้องจัดการทุกอย่างด้วยความใจเย็น

เรื่องเดียวที่หลินอิ่งกังวลก็คือจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของฉีโม่ได้รึเปล่า

ส่วนเรื่องท่านมังกรดำกับพวกหัวกะทิองครักษ์มังกรดำนั้น หลินอิ่งก็ไม่ได้กังวลเลย ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในระยะวัฏจักรก็ตาม แต่ขีดจำกัดของเขาก็ยังสามารถระเบิดความแข็งแกร่งระดับสุดยอดออกมาได้

เขามีความมั่นใจแบบนั้น มั่นใจว่าสามารถจัดการกับท่านมังกรดำได้ อย่างมากขั้นตอนมันก็จะยากเอามากๆ

ในการคาดการณ์ของหลินอิ่ง ความสามารถของเจ้ามังกรดำนั้น น่าจะอยู่ระดับสูงสุดของรายการแห่งฟ้า

เนื่องจาก อาจารย์กู้ต้าที่เป็นประมุขคนปัจจุบันของแก๊งมังกร ยังคงสามารถกำราบรายการแห่งฟ้าลงได้ และเป็นเทียนหวางเพียงหนึ่งเดียวในแวดวงลึกลับ

ส่วนท่านมังกรดำก็เป็นจอมทัพที่อยู่ใต้บัญชาเขา ฝีมือก็น่าจะด้อยกว่านิดหน่อย อาจอยู่ระดับกลางค่อนไปทางสูงของรายการแห่งฟ้า

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง

“เข้ามา” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ

จากด้านนอก ได้มีชายชราคนหนึ่งที่ใส่ชุดกี่เพ้าสีขาวเดินเข้ามา อายุราวๆ ห้าหกสิบปี เวลาที่เดินก็ดูห้าวหาญและหนักแน่น ท่าทางน่าเกรงขาม

ถึงแม้ผู้มาเยือนจะดูชรา แต่สายตากลับดูแหลมคมมากเป็นพิเศษ

“กู่ชางไห่แห่งตระกูลนิ่ง คารวะผู้อาวุโส”

กู่ชางไห่โค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกข้าน้อยมาที่อำเภอเจียงเยว่อย่างเร่งรีบนั้น มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ?”

หลินอิ่งมองไปยังกู่ชางไห่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วสังเกตเขาอย่างลึกซึ้งไปรอบหนึ่ง

กู่ชางไห่ คือยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงมอบหมายให้ประจำการอยู่ที่มณฑลตุงไห่

และขอบเขตอำนาจที่หลินอิ่งมีในตอนนี้ ก็สามารถสั่งการคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลตุงไห่ได้

คนคนนี้ เป็นหนึ่งในยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้โบราณของตระกูลนิ่ง เพียงแต่เขาไม่ค่อยได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพมากนัก

ครั้งนี้ที่เชิญคนคนนี้มา จุดประสงค์ก็เพื่อให้เขาช่วยจัดการธุระสำคัญให้ตนเรื่องหนึ่ง

ถึงแม้การไปที่ภูเขาเจียงเยว่คนเดียวนั้น หลินอิ่งจะมั่นใจว่าสามารถรับมือกับท่านมังกรดำได้

แต่เรื่องที่ต้องไปช่วยฉีโม่ ก็ยังต้องให้ยอดฝีมือสักคนมาช่วยอยู่ดี ต่อให้ตัวเองจะสู้เก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะแยกร่างได้

ที่สำคัญ ตราบใดที่ฉีโม่ยังตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านมังกรดำ เขาเองก็ไม่สามารถลงมือได้เต็มที่ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องคอยกังวลอยู่

มันจึงต้องหาใครสักคนมาจัดการเรื่องนี้

“กู่ชางไห่ ผมต้องการให้คุณไปช่วยคนหนึ่งคน” หลินอิ่งสั่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง “คุณต้องปะทะกับยอดฝีมือรายการแห่งดินที่บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคนหรืออาจจะหลายคน รวมถึงผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณหัวกะทิอีกหลายคน”

“คุณมีความมั่นใจแค่ไหน?”

พอได้ยินอย่างนั้น กู่ชางไห่ก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ผู้อาวุโส ถ้าเป็นยอดฝีมือรายการแห่งดิน ที่เจ็บหนัก ข้าน้อยก็มีความมั่นใจอย่างมากที่จะช่วยคนออกมาได้ครับ”

ระหว่างที่พูด ร่างกายของกู่ชางไห่ก็กระตุกทีหนึ่ง แล้วได้มีแรงดันอากาศแผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่างของเขา ทำให้ชุดกี่เพ้าของเขาพองขึ้นมาจากแรงลม

หลินอิ่งเหลือบมองเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เยี่ยมมาก”

จากที่เขาพิจารณาลมปราณก็พบว่า กู่ชางไห่นั้นได้ก้าวสู่ขั้นเริ่มต้นของรายการแห่งดินแล้ว ถ้าเทียบกับเย่เฮยก็น่าจะห่างกันขั้นหนึ่ง แต่ก็สามารถรับมือกับพวกองครักษ์มังกรดำได้แล้ว

แผนการของหลินอิ่งนั้นค่อนข้างเรียบง่าย

อาศัยความได้เปรียบทำให้ลูกสมุนของท่านมังกรดำให้บาดเจ็บ แล้วใช้กำลังรั้งตัวท่านมังกรไว้ ให้กู่ชางไห่เข้าจากอีกทาง อาศัยช่วงชุลมุนช่วยตัวประกัน แล้วคอยปกป้องฉีโม่เอาไว้

“ระหว่างทาง ผมจะบอกรายละเอียดกับคุณอีกที ทุกอย่างต้องทำตามแผนที่ผมวางไว้” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“ครับ! ผู้อาวุโส ข้าน้อยจะทำตามแผนที่ผู้อาวุโสวางไว้ทุกอย่างครับ” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

เขารู้ดีว่าหลินอิ่งนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน และยังรู้อีกว่าอัตราการชนะนักของหลินอิ่งในตี้จิงนั้นสูงส่งแค่ไหน กับคำพูดของผู้อาวุโสที่อายุน้อยคนนี้ เขานั้นก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยเลย

ระหว่างที่พูด หลินอิ่งก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องไป

ส่วนกู่ชางไห่ก็ได้เดินตามหลังไปติดๆ

ไม่นานฮาเดสก็ได้ไปเอารถมาคันหนึ่ง หลินอิ่งได้เข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง รถวิ่งเข้าไปในถนนที่แสนคึกคัก วิ่งตรงไปยังภูเขาเจียงเยว่

กู่ชางไห่ก็นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเหมือนกัน และค่อยๆ พูดคุยกับหลินอิ่งเกี่ยวกับแผนการที่วางไว้

ในตอนนี้ ภายใต้แสงจันทร์บางๆ ที่สาดส่อง ภูเขาเจียงเยว่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้ปลดปล่อยบรรยากาศที่น่าขนลุกออกมา………

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท