ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 648 แกตั้งใจจะช่วยตัวประกันใต้จมูกฉันเนี่ยนะ?

บทที่ 648 แกตั้งใจจะช่วยตัวประกันใต้จมูกฉันเนี่ยนะ?

“คุณหลินเขา……คุณหลินยังรับมือกับหัวหน้าของพวกมันอยู่ครับ ตอนนี้เขายังออกมาไม่ได้” กู้ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ถ้าไม่ได้คุณหลินถ่วงพวกมันไว้ ผมก็ไม่มีทางช่วยคุณออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้หรอกครับ”

ตอนที่พูดนั้น กู่ชางไห่ก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลินอิ่งกับชายนิรนามสู้กัน ในใจนั้นยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เลย

เมื่อกี้ตอนที่กำลังแฝงตัวอยู่ในเงามืดนั้น ภาพการต่อสู้ระหว่างหลินอิ่งกับชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ช่างน่าตกตกตะลึงเหลือเกิน มันเกินกว่าจินตนาการของยอดฝีมือระดับรายการแห่งดินแบบเขาไปแล้ว

ถ้าไม่ได้หลินอิ่งมาหยุดชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าเอาไว้ แล้วทำให้นายพลงูกับพวกชายหนุ่มชุดดำจนบาดเจ็บสาหัสล่ะก็

กู่ชางไห่ก็รู้ตัวดี ภายใต้กองกำลังที่เตรียมพร้อมแบบนี้ ลำพังแค่ความสามารถในด้านบูโดของเขาคนเดียว ก็ยากมากที่จะช่วยจางฉีโม่ออกมาได้

“หลินอิ่งยังไม่ได้หนีออกมาเหรอคะ? ขะ เขาจะเป็นอันตรายมั้ย?” จางฉีโม่พูดออกมาด้วยความร้อนรน “แล้วใครกันที่กำลังต่อสู้กับเขาอยู่? คนพวกนี้เป็นใครกันแน่?”

ในใจของจางฉีโม่นั้นมีคำถามที่มากมาย

เรื่องที่ต้องเจออย่างกะทันหัน ส่งผลให้เธอตกใจอย่างมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย

ผู้หญิงคนนั้นที่คุยกับเธอ บอกว่าตัวเองนั้นเป็นแม่เลี้ยงของหลินอิ่ง ระหว่างที่คุยกัน ก็ได้แสดงท่าทางที่น่ากลัวออกมาเป็นผู้หญิงโหดเหี้ยมที่ยังมีชีวิต

ถ้าไม่ใช่ว่าออกจากที่แห่งนั้นมาแล้ว แค่คิดจางฉีโม่ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องราวที่น่ากลัวแบบนี้

ส่วนหลินอิ่งนั้น

ในความทรงจำของจางฉีโม่ ฝีมือของหลินอิ่งนั้นอยู่ระดับยอดฝีมือที่อยู่ในหนังแล้ว คนทั่วๆ ไปนั้นไม่มีทางทนมือทนตีนเขาได้แน่นอน

แล้วทำไมถึงยังถูกขวางไว้อีกล่ะ?

“คุณหลินเขา……” กู่ชางไห่ทำหน้าลำบากใจ “เขาไม่น่าจะเป็นอะไรครับ”

จากทัศนวิสัยของเขา ก็ไม่มีทางคาดเดาได้ว่าหลินอิ่งจะสามารถต้านทานพลังอำนาจที่น่ากลัวของชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าคนนั้นได้มั้ย

คนระดับนั้น ต้องเป็นปรมาจารย์ที่เหนือกว่ารายการแห่งฟ้าแน่นอน อาจจะเป็นบุคคลระดับตำนานในแวดวงลึกลับก็เป็นได้

ดังนั้น เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

“คุณนายหลิน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คุณหลินนั้นเป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบมาโดยตลอด ในเมื่อเขากล้าขวางยอดฝีมือลึกลับคนนั้นไว้เพียงลำพัง ก็แสดงว่าเขาต้องมั่นใจมากพออยู่แล้วครับ” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ภารกิจที่คุณหลินมอบให้ผมคือ หลังจากที่ช่วยคุณออกมาได้แล้ว ให้รีบลงเขาแล้วขึ้นกลับไปรอเขาอยู่ที่ตัวอำเภอครับ”

“แบบ แบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะกลับไปพร้อมกับหลินอิ่ง เขายอมเสี่ยงอันตรายขนาดนี้มาช่วยฉัน จะให้ฉันกลับไปคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง” จางฉีโม่พูดด้วยความแน่วแน่

“ในเมื่อคุณเป็นคนของหลินอิ่ง ก็ต้องฟังที่ฉันสั่ง กลับไปตอนนี้ ไปช่วยหลินอิ่ง ฉันจะกลับไปพร้อมกับเขา” จางฉีโม่พูดออกมาด้วยความร้อนรน และใช้คำพูดที่สื่อถึงการออกคำสั่ง

“คือ……”

กู่ชางไห่ทำหน้าลำบากใจ รู้สึกเหมือนเจอกับศึกสองด้านอยู่ และไม่รู้ว่าควรตัดสินใจยังไงดี

“คุณนายหลินครับ ต่อให้ตอนนี้ข้าน้อยจะหันกลับไปช่วยเหลือคุณหลิน ก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “การที่คุณหลินยอมเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นเพื่อเข้าไปช่วยคุณ ในตอนนี้ อยากให้เข้าใจความพยายามของเขาด้วย อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกเลยนะครับ”

ในใจของกู่ชางไห่นั้นรู้ดี บอกตามตรงการต่อสู้ในระดับของหลินอิ่งนั้น เขาช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเข้าไป อาจจะทนได้ไม่เกินสองนาที ก็น่าจะถูกชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าคนนั้นเล่นงานจนตาย หรือโดนฉีกกระชากด้วยมือเปล่าแน่นอน

“ยิ่งเป็นแบบนั้น ฉันยิ่งทิ้งหลินอิ่งแล้วหนีไปคนเดียวไม่ได้” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ถ้าเขากลับไปอย่างปลอดภัยไม่ได้ กับการที่ฉันหนีไปคนเดียว แล้วมันจะไปมีความหมายอะไร?”

จางฉีโม่ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปพร้อมกับหลินอิ่งให้ได้

เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินอิ่งมาก และไม่อยากให้หลินอิ่งต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อเธอขนาดนั้น ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลินอิ่ง มันก็เป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการที่จะเห็นมากที่สุด

“คือว่า……” กู่ชางไห่ทำหน้าลังเลแถมยังร้อนรนอีกด้วย

“นี่พวกแกสองคน ยังคิดจะหนีอยู่อีกเหรอ?”

และในตอนนั้นเอง น้ำเสียงที่น่าขนลุกก็ได้ดังขึ้นจากในที่ที่ไม่ไกล ฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกขนลุก

ภายใต้แสงจันทร์จางๆ ที่สาดส่อง ทางเดินที่อยู่กลางป่า ได้มีชายหนุ่มชุดดำที่ใส่หน้ากากสัมฤทธิ์เดินตรงเข้ามาร่างกายของเขาสูงใหญ่ รอบตัวปกคลุมไปด้วยรังสีที่พร้อมจะระเบิดออกมา จิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วตัว

ในเวลาเดียวกัน ทั่วทุกทิศทาง ก็มีคนชุดดำนั้นเดินออกมา ล้อมรอบพวกของจางฉีโม่เอาไว้

ภายใต้ความเงียบงันนั้น องครักษ์มังกรดำก็ตามไล่ล่ามาถึงแล้ว

“นี่มัน?” จางฉีโม่ที่เห็นกลุ่มคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร สีหน้าก็ดูร้อนรนขึ้นมาทันที แต่แววตากลับดูไม่ลังเลเลย

เพราะพอคิดว่าหลินอิ่งกำลังต่อสู้อย่างยากลำบากเพื่อเธออยู่

เธอจึงห้ามกลัวอีก ห้ามเป็นตัวถ่วงให้หลินอิ่งอีก

“ฮึฮึ คุณนายหลิน พวกเราต่างก็เป็นเพื่อนเก่าของคุณหลิน มาหาเขาก็เพราะมีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย แล้วทำไมคุณถึงรีบกลับไปขนาดนี้ล่ะครับ?”

นายพลงูพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา ส่วนสายตาก็มองไปที่กู่ชางไห่ ทำท่าเหมือนพร้อมที่จะเข้าจู่โจมทุกเมื่อ

“คุณนายหลิน คุณไม่ต้องห่วง ข้าน้อยจะช่วยคุณขวางคนพวกนี้ไว้เอง” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง สายตาก็จ้องไปที่นายพลงูเหมือนกัน

ผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนี้ มีเพียงนายพลงูคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยได้

“ขวางเราเอาไว้อย่างนั้นเหรอ? ฮึฮึฮึ………” นายพลงูขำออกมาอย่างเยือกเย็น “ตาแก่อย่างแก พูดจาใหญ่โตเหมือนกันนี่ ถึงกล้าคิดที่จะชิงตัวประกันที่ใต้จมูกของฉัน?”

“แกรู้รึเปล่าว่าแกกำลังทำเรื่องที่มันโงเง่าขนาดไหนอยู่? แกรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร? เรื่องที่ร้ายแรงขนาดนี้ แกยังกล้าเข้ามายุ่งอีกเหรอ?”

สีหน้าของกู่ชางไห่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก จ้องมองไปยังนายพลงูแล้วพูดไปว่า “แกเป็นถึงยอดฝีมือระดับรายการแห่งดิน ทำไมถึงได้ทำเรื่องต่ำทรามอย่างการจับตัวผู้หญิงมาเป็นตัวประกันแบบนี้? ยังมีศักดิ์ศรีหลงเหลือบ้างมั้ย?”

ตอนมาถึงที่ภูเขาเจียงเยว่ พอได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตกตะลึงนั่น หลังจากได้รู้ถึงความแข็งแกร่งที่มากล้นของอีกฝ่าย

ในใจของกู่ชางไห่ก็เกิดสงสัยขึ้นมา

ตามหลักแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของนายพลงูกับชายนิรนามที่เป็นหัวหน้าคนนั้น ต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งยิ่งใหญ่ในแวดวงลึกลับแน่นอน แล้วทำไมถึงยังต้องลดตัวลงมาลักพาตัวผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ด้วย?

“เรื่องต่ำทรามอย่างนั้นเหรอ? ไม่ไม่ไม่” นายพลงูขำพร้อมพูดด้วยความไม่ชอบใจ “การต้องรับมือกับคนอย่างหลินอิ่งนั้น ใช้แค่วิธีทั่วไปน่ะมันไม่ได้ผลหรอก คนที่จะทำการใหญ่ ต้องไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”

“ตกลงตาแก่อย่างแก เป็นใครมาจากไหนกันแน่? ไม่คิดจะเล่าให้ฟังหน่อยเหรอ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าใครกันที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกล้าถึงกล้าไปช่วยหลินอิ่ง แล้วมาเป็นศัตรูกับพวกเรา”

นายพลงูพูดอย่างขบขัน

“กู่ชางไห่แห่งสำนักบี้ชุ่ย” กู่ชางไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึก “แล้วพวกแกล่ะเป็นใครมาจากไหน?”

“สำนักบี้ชุ่ย?” สายตาของนายพลงูดูตื่นเต้นขึ้นมา แล้วข่มขู่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจว่า “สำนักบี้ชุ่ยที่เล็กจ๊อยนั่น ยังกล้าเข้ามายุ่งของแก๊งมังกรอีก นี่แกอยู่มานานจนเบื่อไปแล้วใช่มั้ย?”

“คนแซ่กู่ แกวางจางฉีโม่ลงตอนนี้ หันหลังแล้วเดินจากไป ฉันจะถึอว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน” นายพลงูพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ไม่อย่างนั้น ในไม่กี่วัน สำนักบี้ชุ่ยได้ตายเกลี้ยงไม่มีเหลือแน่!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท