ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 651 เจตนาฆ่า

บทที่ 651 เจตนาฆ่า

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!” ท่านมังกรดำหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ฆ่าผมหรือ?”

“คุณช่างคุยโวโอ้อวดเสียจริง!”

คำพูดของหลินอิ่ง ดูเหมือนจะทำให้ท่านมังกรดำรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของเขา

“หลินอิ่ง คุณคิดว่าตนเองเป็นท่านประมุขแก๊งสูงสุดจริง ๆ หรือ?” ท่านมังกรดำกล่าวเยาะเย้ย “คุณมันเป็นแค่สุนัขที่ไม่มีเจ้าของ ที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไปวัน ๆ เท่านั้น”

“ไม่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง หรือคุณไม่รู้หรือว่าตนเองนั้นจะมีจุดจบอย่างไร? คุณยังกล้ามาหยิ่งยโสโอหังต่อหน้าผมอีก”

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้ามังกรระดับสูง ท่านมังกรดำมีชื่อเสียงในแวดวงลึกลับ และมีความน่าเกรงขามในตนเอง

แต่หลินอิ่งเป็นเพียงอดีตประมุขแก๊งมังกรตกอับเท่านั้น ที่ตอนนี้ถูกยึดอำนาจ และถูกตามไล่ฆ่า เขาเป็นเพียงบุคคลนิรนามในแวดวงลึกลับเท่านั้น

แม้กระทั่ง ตอนนี้ทักษะฝีมือของหลินอิ่งนั้นก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุด แล้วยังกล้าที่จะมาขู่ฆ่าตนเอง?

ช่างน่าขำสิ้นดี!

“อย่างที่คุณกล่าว คุณรู้ความลับมากเกินไป” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ “ถ้าคุณยังไม่ตาย แล้วผมจะวางใจได้อย่างไร?”

การที่หลินอิ่งมาที่ภูเขาเจียงเยว่คราวนี้ ก่อนอื่นเขาจะต้องช่วยจางฉีโม่ภรรยาก่อน

และตอนนี้ฉีโม่ปลอดภัยแล้ว

สิ่งสำคัญที่จะต้องทำต่อไปก็คือฆ่าท่านมังกรดำซะ

ศัตรูที่ทรงพลังอย่างท่านมังกรดำ แอบสอดแนมตนเองอย่างลับ ๆ มานานแล้ว

การปรากฏตัวของท่านมังกรดำในครั้งนี้ คือต้องการจับจุดบกพร่องของหลินอิ่ง และต้องการใช้โอกาสนี้ฆ่าหลินอิ่ง กล่าวกลับกัน สำหรับหลินอิ่งแล้วนี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่หายาก

ตราบใดที่ท่านมังกรดำยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด หลินอิ่งก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ด้วยเครือข่ายข่าวกรองตอนนี้ของหลินอิ่งนั้น ไม่สามารถหาตำแหน่งของคนระดับอย่างท่านมังกรดำได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านมังกรดำนั้นยังรู้อีกว่าหลินอิ่งเป็นอดีตประมุขแก๊งมังกร ซึ่งเป็นอันตรายที่แอบแฝงอย่างใหญ่หลวง

เมื่อหลินอิ่งยังไม่มีความสามารถพอ เขาจึงยังไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับอาจารย์กู้ต้าแบบตัวต่อตัว

ในช่วงเวลาที่สำคัญ ถ้าหากข่าวแพร่กระจายออกไป และเกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับหลินอิ่งแล้วมันจะเป็นสถานการณ์ที่ยุ่งยากมาก

อย่างน้อย ตอนนี้สถานการณ์ของหลินอิ่งยังไม่มั่นคง และไม่สามารถที่จะปราบปรามประเทศหลุงทั้งหมดได้

“ดี ดีมาก” ท่านมังกรดำเยาะเย้ย “คนหนุ่มมีความมั่นใจก็ดี แต่คุณจะต้องมีความสามารถเช่นนั้นด้วย!”

“ตอนนี้ความสามารถของคุณ อยู่ในระดับรายการแห่งฟ้าเท่านั้น” หลินอิ่งยืนเอามือไขว้หลัง และกล่าวอย่างช้า ๆ ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปที่ท่านมังกรดำ

“อาศัยฝีมืออย่างคุณ เมื่อไปถึงระดับสูงสุดแล้ว ก็สามารถรับได้แค่กระบวนท่าเดียวของผมเท่านั้น”

หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อสักครู่ ทั้งสองฝ่ายกำลังทดสอบฝีมือของอีกฝ่าย

หลินอิ่งได้ข้อสรุปสุดท้ายเกี่ยวกับฝีมือการต่อสู้ของท่านมังกรดำแล้ว

บุคคลนี้ น่าจะอยู่ในระดับรายการแห่งฟ้าระดับต้น

หากต้องการอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการแห่งฟ้า และอยู่ในหกอันดับแรก

ปรมาจารย์ในระดับนี้ มีความภาคภูมิใจอยู่ในระดับจุดสูงสุดของโลกแล้ว

แต่สำหรับหลินอิ่งแล้ว ยังไม่ถึงระดับนั้น

ในยุครุ่งเรืองหลินอิ่ง เขาอยู่ในสถานะดีที่สุด อยู่เหนืออันดับต้นของรายการแห่งฟ้า ไปถึงระดับที่เกือบจะเป็นตำนาน

อย่างไรเสีย เมื่อก่อน ตอนที่หลินอิ่งอายุสิบเจ็ดปี เขาได้สังหารรายชื่อในรายการแห่งฟ้าเพียงลำพัง และเข้าครอบครองบัลลังก์ของแก๊งมังกร

แล้วเขาจะสนใจระดับรายการแห่งฟ้าระดับต้นได้อย่างไร

“ฮ่า ๆ ๆ…” ท่านมังกรดำหัวเราะอย่างเย็นชา “ช่างดีเหลือเกินที่จะต้านรับคุณด้วยมือเดียวเท่านั้น”

“หลินอิ่ง ผมยอมรับตอนที่คุณอยู่ในระดับจุดสูงสุดนั้นมีความแข็งแกร่งแน่นอน แม้แต่ผมก็หวาดกลัวคุณ”

“แต่ทุกคนย่อมมีจุดเด่นและจุดบกพร่อง จะมีใครแข็งแกร่งตลอดได้อย่างไร?”

“เคล็ดลับของแก๊งมังกรที่คุณได้ฝึกฝนมานั้น ทำให้คุณมีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกัน จุดอ่อนในระยะวัฏจักรก็คือข้อแลกเปลี่ยน”

“นี่ก็หมายความว่า คุณยังฝึกไม่บรรลุผล และคุณยังไม่สามารถควบคุมเคล็ดลับสุดยอดนั้นได้”

ท่านมังกรดำกล่าวช้า ๆ

“ความแข็งแกร่งของคุณ ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้คุณสามารถบ้าคลั่งได้เช่นนี้…”

มุมปากของหลินอิ่งกระตุก เพราะสิ่งที่ท่านมังกรดำกล่าวนั้นเป็นความจริง

เคล็ดลับของแก๊งมังกรสูงสุด ซึ่งเป็นวิชาที่เหลือเชื่อ และเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยม ถึงระดับที่มนุษย์ไม่อาจคาดเดาได้

แม้แต่ตนเองนั้นแค่ฝึกฝนได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น

มิฉะนั้น จะไม่หลบซ่อนตัวเป็นเวลาหลายปี และต้องทนต่อระยะวัฏจักรของเคล็ดลับ

“ถึงแม้จะอยู่ในช่วงระยะวัฏจักร การผมจะฆ่าคุณนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก” หลินอิ่งกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ และมั่นใจ

ท่านมังกรดำขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องเขม็งไปที่หลินอิ่ง

พูดตามตรง ยิ่งอยู่เขาก็ยิ่งไม่สามารถรับรู้ระดับของหลินอิ่งได้ขึ้นเรื่อย ๆ

ดูเหมือนว่า ไม่ว่าคนคนนี้จะเผชิญกับวิกฤตแบบไหนก็สามารถปลอดภัยได้

นอกจากนี้ เขายังตัดสินได้อย่างแม่นยำว่าระดับทักษะฝีมือของเขาอยู่ในรายการแห่งฟ้าระดับต้น

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของหลินอิ่งอ่อนแอ แต่เขายังแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงหรือ?

ดังคำกล่าวที่ว่า เสือลำบากก็อาจถูกสุนัขรังแก

ท่านมังกรดำไม่ใช่สุนัขอย่างแน่นอน แล้วหลินอิ่งนั้นเป็นเสือแบบไหน?

“ในเมื่อคุณมั่นใจขนาดนี้ งั้นก็ลงมือเถอะ”

ท่านมังกรดำกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคุณฝึกคัมภีร์เคล็ดลับนั้นไปถึงระดับไหนแล้ว…”

หลินอิ่งยิ้มบาง ๆ

มีแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ในดวงตาที่เย็นชา ดูงดงามและน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ฟู่!

ขณะนี้เกิดมีลมพัด หญ้าและต้นไม้สั่นสะท้าน เสื้อคลุมของทั้งสองก็พลิ้วไหว

ภายใต้สายลมสงบ ไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกเปิดเผย

ระหว่างสวรรค์และโลก มีความเงียบและมีไอแห่งการสังหาร

สายลมแผ่วเบาราวกับมีดที่แทงทะลุร่างกายของท่านมังกรดำ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทุกรูขุมขนในร่างกาย ราวกับว่าได้แทงทะลุเข้าไปในหัวใจ

เห็นได้ชัดว่ามีแรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้น ราวกับว่าภูเขาไท่ซานกำลังกดทับร่างของท่านมังกรดำ

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อ มือและเท้าของเขาสั่นเล็กน้อย

หลินอิ่งรู้สึกโกรธ

นี่คือเจตนาฆ่า!

“นี่…พลังนี่….”

เสียงของท่านมังกรดำสั่นเล็กน้อย มองไปที่หลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ขณะนี้ ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่า ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นผู้ที่ทรงพลังเพียงใด

ความรู้สึกของท่านมังกรดำนั้นเหมือนกับการไปปลุกมังกรยักษ์ที่หลับใหล เหมือนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเหมือนปลุกมังกรที่อยู่ใต้ทะเลสาบ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญนั้นน่ากลัวนี้ขนาดไหน

พลังของหลินอิ่งได้ไปถึงระดับที่เป็นตำนานไปแล้ว

ทุกการเคลื่อนไหวราวกับประสานกันระหว่างฟ้ากับดิน

เมื่อเขาโกรธ ดูเหมือนว่าฟ้ากับดินจะโกรธเช่นกัน

สายลมที่อยู่ในระยะหนึ่งร้อยเมตร เปรียบเสมือนการระบายอารมณ์ของหลินอิ่ง กลายเป็นเข็มเหล็กทิ่มแทงไปที่หน้าอกของท่านมังกรดำ

ท่านมังกรดำรู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้ มีแต่ระดับรายการแห่งฟ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้…..

“ฟืด”

ท่านมังกรดำสูดลมหายใจ ดวงตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ร่างกายสั่นสะท้าน และมีกระแสอากาศที่น่าสะพรึงกลัวก็ปะทุขึ้นภายใต้เสื้อคลุมสีดำ

มีคลื่นลมแรงอยู่กลางอากาศ แหลกสลายไปกับสายลมและคลื่น ราวกับถูกทำร้ายด้วยมีดจำนวนมากที่มองไม่เห็น

“หลินอิ่ง ระดับของคุณสูงมาก แต่คุณสามารถใช้พลังออกมาได้กี่ระดับ?”

“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะสามารถทำอะไรผมได้!”

ท่านมังกรดำตะโกนด้วยความโกรธ จากนั้นก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เกิดแรงสั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้า และทันใดนั้นพื้นดินที่เขาเหยียบก็แตกกระจายไปทุกทิศทุก

“เตรียมรับมือ!”

หลังจากนั้น ท่านมังกรดำปล่อยพลังฝ่ามือออกไป

เสียงดังสนั่น!

มีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศ ราวกับฟ้ากำลังพิโรธ!

เมื่อฝ่ามือของเขาพุ่งออกไป พายุอากาศที่มองไม่เห็นอันน่าสะพรึงกลัวได้พุ่งออกไปพร้อมด้วยเสียงระเบิด กวาดทรายกับหินและพุ่งไปที่หลินอิ่ง!

ขณะนี้ ท่านมังกรดำได้แสดงกระบวนท่าสังหารที่แท้จริง

นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดสำหรับสองยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานได้ต่อสู้กัน!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท