ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 653 ฆ่าตาย

บทที่ 653 ฆ่าตาย

การต่อสู้ที่ดุเดือดกินเวลาเกือบสิบนาที

มีรอยเลือดหลงเหลืออยู่บนพื้นของยอดเขา

บางครั้งมีเสียงคำราม ราวกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย และดังสนั่นไปทั่ว

แม้แต่เนินเขาก็ยังสั่นสะท้าน ราวกับว่าไม่สามารถต้านทานแรงปะทุที่เกิดจากการต่อสู้ของท่านมังกรดำและหลินอิ่งได้

เสียงระเบิดดังบูม

เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า ทำให้หมอกควันฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

หลินอิ่งและท่านมังกรดำใช้พลังหมัดต่อสู้กัน จากนั้นก็ทำให้ทั้งคู่ถอยห่างออกไปหลายสิบเมตร จนเกิดระยะห่าง

ขณะนี้ท่านมังกรดำอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน ผิวของเขาเต็มไปด้วยเลือด กระดูกหักไปหลายที่ และร่างกายแข็งทื่อ

ตอนนี้ร่างกายของเขามีร่องรอยของความอ่อนล้า และดูเหมือนว่าเขาจะหมดแรงแล้ว

สายตาของเขาไม่มีความมั่นใจเหมือนก่อนหน้านั้น

ดวงตาของท่านมังกรดำมีร่องรอยของความตื่นตระหนก และหมดความมั่นใจ

ใช่ หลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบาก เขาเกือบจะเข้าตาจนแล้ว เขาใช้กำลังภายในไปจนหมดแล้ว และพลังทางกายก็กำลังจะหมดลง

ส่วนร่างกายของหลินอิ่งนั้นก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน เขายังคงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่เดิม ดวงตาเต็มไปด้วยไอสังหาร

จังหวะการหายใจของเขาไม่สม่ำเสมอ และการหายใจของเขาดังสะเทือนราวกับเสียงฟ้าร้อง

ร่างกายของหลินอิ่งก็เกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว …

ตอนนี้ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ ไม่สามารถจะต่อสู้ดุเดือดเช่นนี้ได้ ที่เขาสามารถยืนหยัดได้เพราะอาศัยจิตวิญญาณและเจตจำนง

ขอแค่ไม่ระมัดระวัง หรือหละหลวมเพียงเล็กน้อย ร่างกายของเขาก็จะล้มลงบนพื้นทันที และหมดสติไปโดยสิ้นเชิง

“แค๊ก ๆ……”

ท่านมังกรดำไอสองครั้ง เลือดสีดำก็พ่นออกมาจากปาก

เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่หลินอิ่ง

“หลินอิ่ง คุณจะฆ่าผมให้ตายใช่ไหม? ถึงได้ต่อสู้กันถึงขนาดนี้ จังหวะการหายใจของคุณได้แสดงให้เห็นว่า คุณไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกแล้ว…” ท่านมังกรดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

เขารู้สึกตกใจสำหรับประสิทธิภาพการต่อสู้ของหลินอิ่งเป็นอย่างมาก

หลินอิ่งซึ่งอยู่ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ สามารถต่อสู้กับตนเองอย่างดุเดือดได้จนถึงตอนนี้? และบีบบังคับจนทำให้ตนเองจนตรอก?

ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าพลังอันแข็งแกร่งของหลินอิ่งนั้นเสื่อมทรุดจนเป็นม้าปลายแถว และไม่สามารถยืนหยัดภายใต้สถานการณ์ปกติได้อย่างแน่นอน

หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมากขนาดนี้ เขาควรจะล้มลงบนพื้นนานแล้ว

แต่ยังคงสามารถยืนหยัดได้เพราะอาศัยจิตวิญญาณ?

นี่คือระดับเหนือรายการแห่งฟ้าหรือ?

เมื่อสภาวะที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จิตวิญญาณนั้นสามารถค้ำจุนการเคลื่อนไหวได้?

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเขาผิดปกติเล็กน้อย ดูเหมือนจิตใจจะสั่นคลอน แต่ดวงตากลับใสเป็นพิเศษ และมีแววสังหารอยู่ในดวงตา

เลือดจากมุมปากของเขายังคงไหลอย่างต่อเนื่อง ไหลลงไปที่หน้าอก ทำให้เสื้อสีขาวกลายเป็นเป็นสีแดง ดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก

แม้แต่อวัยวะภายในของหลินอิ่งก็มีเลือดออก กำลังภายในปั่นป่วนผิดปกติ เสียงกระดูกแตกหักดังต่อเนื่อง

ต้านกำลังภายในอันแข็งแกร่งของท่านมังกรดำ และพลังนั้นยังคงอยู่ในร่างกายและไม่สามารถสลายได้

อาการบาดเจ็บของหลินอิ่งนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าที่เห็นผิวเผินเสียอีก

อย่างไรก็ตาม มุมปากเปื้อนเลือดของเขากลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย

“คุณแพ้แล้ว” หลินอิ่งกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ และยิ้มอย่างมั่นใจ

“ผมแพ้แล้วหรือ? ฮ่า ๆ ๆ…..” ท่านมังกรดำหัวเราะอย่างคลุมเครือ “หลินอิ่ง คุณพูดล้อเล่นอยู่หรือ?”

“อาการบาดเจ็บของคุณในตอนนี้ เกรงว่าคุณจะไม่สามารถขยับได้”

“ส่วนผมแค่ปรับพลังแล้วก็จะสามารถจับกุมคุณได้”

ขณะที่พูดประโยคนี้ ท่านมังกรดำแสดงท่าทางที่บ้าคลั่ง

สายตาที่เขามองหลินอิ่งราวกับว่าเขากำลังมองดูสมบัติ

เพราะว่าเขาได้เห็นแสงแห่งชัยชนะแล้ว

ขณะดูเหมือนว่าสภาพร่างกายของหลินอิ่งเกือบจะพังทลายแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมได้แม้แต่จังหวะการหายใจพื้นฐาน

ขอแค่ตนเองพักอีกสักครู่ ก็สามารถเดินไปจัดการหลินอิ่งได้อย่างง่ายดาย

และเก็บเกี่ยวเคล็ดลับของแก๊งมังกรตามที่เขาใฝ่ฝัน

ท่านมังกรดำกำลังฝัน และกำลังรอช่วงเวลาที่จะมาถึง

“คุณยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวหรือไม่?”

หลินอิ่งยิ้มจาง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแววสังหารอันเยือกเย็น

หลังจากสิ้นเสียง

ลมพัดมาจากทั่วสารทิศ

ลมหนาวพัดมาราวกับจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง

มีแสงเหมือนดาวตกส่องผ่านร่างของหลินอิ่ง

บูม!

นาทีต่อมา ร่างของหลินอิ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างกายของท่านมังกรดำ และปล่อยพลังฝ่ามืออยู่กลางอากาศ

เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว และพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็สั่นสะเทือนไปทุกที่!

พลังของฝ่ามือนี้ทำให้เนินเขาทั้งหมดสั่นสะเทือน จนเกิดรอยร้าวบนถนนและก็มีเศษหินตกลงมามากมาย

“เป็นไปได้ยังไง!”

ท่านมังกรดำตกตะลึง และส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดด้วยความสิ้นหวัง

ท่านมังกรดำรีบโจมตีกลับด้วยพลังฝ่ามือชี่กัง เพื่อไปต้านรับพลังฝ่ามือที่ทรงพลังของหลินอิ่ง

เขาไม่คาดคิดว่า หลินอิ่งที่กำลังจะตาย ยังสามารถปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมาได้?

“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ”

กำลังภายในที่แข็งแกร่งและรุนแรง ทะลวงผ่านร่างกาย ทำให้ร่างกายของท่านมังกรดำจมลงไปในดินกว่าสิบเมตรทันที จนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่

ขณะเดียวกัน เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่ว

เนินเขาพังทลายทันที…..

เป็นภาพที่น่าสลดอย่างหาที่เปรียบมิได้

ท่านมังกรดำร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด จากนั้นหลินอิ่งก็ใช้พลังฝ่ามือ กดร่างของท่านมังกรดำเข้าไปในดิน

บูม! บูม! บูม!

หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่น ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงบ

เนินเขาที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กัน ราบเป็นหน้ากลอง…….

มีหินก้อนหนึ่งร่วงหล่นลงมา และฝุ่นกระจายปกคลุมไปทั่ว จนไม่สามารถมองทุกสิ่งได้ชัดเจน

สภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นเงียบสงบ

หลังจากนั้นไม่นาน

ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เดินออกมาจากฝุ่น

“แค๊ก….”

เสียงไอทำลายความสงบ

หลินอิ่งเดินออกมาจากฝุ่นควัน ใบหน้าขาวซีดเผือด และไอออกมาเป็นเลือด

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต แล้วเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ดวงตาของเขายังคงคมเฉียบชนิดที่ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองตรง ๆ

การต่อสู้คราวนี้สิ้นสุดลงแล้ว

ท่านมังกรดำยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานได้เสียชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว

ยอดฝีมือคนนี้ ไม่เหลือแม้แต่ร่าง เพราะถูกหลินอิ่งทำลายจนกลายเป็นผง และกลายเป็นแอ่งขี้เถ้า…

อีกฝั่งหนึ่ง

บนถนนในป่า กลุ่มหัวกะทิองครักษ์มังกรดำที่กินยาเข้าไป และถูกกู่ชางไห่ทำร้ายจนนอนแนบนิ่งอยู่บนพื้น และทุกคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย

ตอนนี้กู่ชางไห่กำลังต่อสู้กับนายพลงูอย่างดุเดือด

นายพลงูดูเหมือนจะไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป หลังจากปล่อยพลังฝ่ามือไปที่กู่ชางไห่ เขาก็หันหลังและถอยห่างออกไป

สีหน้าของเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดวงตาของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“คนแซ่กู่ คุณน่าจะได้ยินการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ ดูเหมือนว่าท่านมังกรดำจะจัดการหลินอิ่งไปแล้ว”

“คุณ ยังจะต่อต้านอีกหรือ?”

นายพลงูกล่าวข่มขู่

เมื่อสักครู่นั้นมีเสียงคำรามดังออกมาจากสนามรบระหว่างท่านมังกรดำและหลินอิ่ง

ยอดฝีมือสองคนนี้ได้ยินเหมือนกัน

รู้ว่าการต่อสู้ที่นั่นสิ้นสุดลงแล้ว

เพียงแต่ ไม่รู้ว่าใครชนะใครแพ้……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท