ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 656 สันนิษฐาน

บทที่ 656 สันนิษฐาน

“ท่านมังกรเขียว คุณพบเบาะแสอะไรบ้าง?” ทูตซือคงมองไปที่ท่านมังกรเขียวด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว คราวที่แล้ว องครักษ์มังกรเขียวสองคนของตี้จิงถูกบีบจนตาย มันเกิดขึ้นที่อาณาเขตของคุณ คุณควรระแวดระวังและตรวจสอบสถานการณ์” ทันใดนั้นเหมือนทูตซือคงนึกอะไรขึ้นมาได้บางสิ่งและกล่าวอย่างครุ่นคิด

“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น?”

ท่านมังกรเขียวหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก และกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “เบาะแสเดิมทั้งหมดมุ่งตรงไปยังคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง และก็คือนายน้อยแก๊งหยางเหมินที่มีชื่อเสียงในแวดวงลึกลับ และเป็นลูกชายที่โดดเด่น จ้าวเฉิงเฉียน”

“อืม ผมเคยได้ยินเรื่องของจ้าวเฉิงเฉียนหรือนายน้อยแก๊งหยางเหมิน เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่เลวคนหนึ่ง” ทูตซือคงกล่าวพร้อมพยักหน้า

“คุณแยกแยะได้ชัดเจนไหม มันเกี่ยวข้องกับจ้าวเฉิงเฉียนหรือไม่?”

“ฟู่!”

ท่านมังกรเขียว สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และลืมตาอย่างช้า ๆ ประกายแห่งปัญญาส่องประกายอยู่ในดวงตาของเขา

“เรื่องนั้นให้งูเขียวเป็นคนไปจัดการ”

“งูเขียวและท่านมังกรดำหายตัวไปพร้อม ๆ กัน”

“ท่านทูต คุณคิดว่าข้อมูลที่งูเขียวรายงานให้ผมนั้นยังมีค่าอยู่หรือไม่?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่านมังกรเขียวแสดงเจตนาสังหารที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งดูเหมือนจะโกรธเป็นอย่างมาก

เมื่อเรื่องราวได้มาถึงจุดนี้ ทำให้ท่านมังกรเขียวเข้าใจอย่างชัดเจน

เขาถูกท่านมังกรดำหลอกและวางแผนใส่ร้าย

ตั้งแต่ต้นจนจบ เครือข่ายข่าวกรองของเขาถูกท่านมังกรดำแทรกซึม

ข่าวกรองของเขาไม่น่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง

“นี่….” ทูตซือคงขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้อสันนิษฐานของคุณถูกต้อง” ทูตซือคงกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ท่านมังกรดำจงใจให้ข่าวเท็จแก่คุณ เพราะเขากลัวว่าคุณจะรู้ความจริง”

“นี่เหมือนกับที่สิ่งที่อาจารย์กู้ต้ากำชับไว้ ท่านมังกรดำเป็นคนที่เห็นแก่ตัว และต้องการจับตัวทายาทของอดีตประมุขโดยลับ ๆ และเก็บเคล็ดลับของแก๊งมังกรไว้เอง”

“ท่านมังกรเขียว คุณมีตำแหน่งเป็นกุนซือแก๊งมังกรมาตลอด ไม่รู้ว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้” ทูตซือคงมองไปที่ท่านมังกรเขียวและถามอย่างเคร่งขรึม

ใช่! ท่านมังกรเขียวคือคนเจ้าปัญญาในแก๊งมังกร เขาเป็นคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบ และมีฐานะกุนซือ

คนภายในแก๊งมังกรทุกคนรู้ว่าท่านมังกรเขียวเป็นคนที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว

“ในเมื่อสามารถสรุปแรงจูงใจและจุดประสงค์ของท่านมังกรดำได้แล้ว” ท่านมังกรเขียวสันนิษฐานต่อไปว่า “ตอนนี้ท่านมังกรดำและองครักษ์มังกรดำทั้งหมดได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย”

“สามารถสันนิษฐานได้สองประเด็น”

“หนึ่ง ท่านมังกรดำจับทายาทของอดีตประมุข และได้เคล็ดลับของแก๊งมังกรแล้ว ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวไว้”

“สอง ท่านมังกรดำถูกฆ่าตายระหว่างที่ไปไล่ฆ่าทายาทของอดีตประมุข……”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านมังกรเขียว คุณคิดว่าสถานการณ์ใดในสองเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่ากัน?” ทูตซือคงถามอย่างเคร่งขรึม

ท่านมังกรเขียวส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เรื่องนี้สันนิษฐานได้ แต่ไม่สามารถสรุปได้”

“แม้ว่าผมจะสันนิษฐานได้ แต่ก็ยากที่จะคาดเดาสถานการณ์ได้”

“แต่” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านมังกรเขียวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าคุณมองตามมุมมองของผม ท่านมังกรดำน่าจะตายไปแล้ว”

“ผมติดตามอดีตประมุขมาหลายปีแล้ว และผมก็รู้ถึงพลังความแข็งแกร่งของอดีตประมุข คนที่ถูกอดีตประมุขเลือกเป็นทายาท จะต้องเป็นคนเก่งแน่นอน”

“ถึงแม้ว่าท่านมังกรดำจะเป็นคนที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เก่งในเรื่องก่อกรรมทำชั่ว แต่ถ้าเป็นการเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว เขาอาจไม่สามารถเอาชนะทายาทผู้ลึกลับได้”

“มีเหตุผลไม่น้อย” ทูตซือคงพยักหน้าและกล่าวว่า “ผมจะรายงานความคิดเห็นของคุณให้อาจารย์กู้ต้าทราบ”

“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ต้องระวังคือเหตุผลที่ท่านมังกรดำกลัวว่าคุณจะรู้ความจริง จงใจปิดบังเครือข่ายข่าวกรองของคุณ และให้งูเขียวแทรกซึมสอดแนมอยู่ข้างคุณ” ทูตซือคงกล่าวพร้อมหรี่ตาเล็กน้อย

“ทายาทที่ท่านมังกรดำสืบพบนั้นอยู่ในตี้จิง ใช่ไหม?”

“ขอบเขตอาจใหญ่ขึ้นอีกหน่อย” ท่านมังกรเขียวจิบชาแล้วกล่าวช้า ๆ “เครือข่ายข่าวกรองของผม นอกจากที่ตี้จิงแล้ว ยังครอบคลุมสิบเอ็ดเมืองแห่งเจียงเป่ยอีกด้วย”

“ทายาทที่ท่านมังกรดำสืบพบ จะต้องเคลื่อนไหวภายในขอบเขตนี้แน่นอน และได้เข้ามาอยู่ในสายตาของผมแล้ว”

“อืม” ทูตซือคงเห็นด้วยและปรบมือเล็กน้อย “เยี่ยมมาก ท่านมังกรเขียว คุณคิดได้ละเอียดรอบคอบจริง ๆ และคุณก็ได้ข้อสันนิษฐานที่เป็นประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว”

“การที่อาจารย์กู้ต้าให้คุณรับหน้าที่สืบเรื่องทายาทของอดีตประมุขต่อนั้น เขาเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ”

สีหน้าของท่านมังกรเขียวเคร่งขรึม และไม่ได้สนใจไยดีกับคำพูดของทูตซือคง

เขารู้ดีว่า คนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ส่งสารของอาจารย์กู้ต้า

ดังนั้น เขาต้องมีคำอธิบาย และกล่าวในสิ่งที่ตนเองคิดอย่างตรงไปตรงมา

“สิบเอ็ดเมืองแห่งเจียงเป่ย บวกกับตี้จิง คนหนุ่มที่มีความสามารถและเคลื่อนไหวอยู่ภายในขอบเขตนี้ ที่สามารถเข้าตาของท่านมังกรเขียวนั้นมีใครบ้าง?”

“คุณคิดว่าใครน่าสงสัยที่สุด?”

“เด็กหนุ่มจ้าวเฉิงเฉียน เป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด” ท่านมังกรเขียวกล่าว

“อ้อ? แต่จ้าวเฉิงเฉียนเป็นนายน้อยของแก๊งหยางเหมิน ศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักหยาง เกรงว่าฐานะตัวตนของทายาทอดีตประมุขจะไม่สอดคล้องกับเขา?” ทูตซือคงกล่าวช้า ๆ

“นอกจากนี้ จ้าวเฉิงเฉียนยังเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าว เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก และชอบคุยโวโอ้อวด ซึ่งไม่สอดคล้องกับการกระทำของทายาทอดีตประมุข”

ท่านมังกรเขียวกล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ว่าอดีตประมุขเลือกใคร ไม่ว่าจะมาจากตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง หรือนายน้อยของแก๊งหยางเหมิน ใครจะไปรู้ว่าอดีตประมุขนั้นถ่ายทอดเคล็ดลับของแก๊งมังกรให้เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ปมเงื่อนที่อดีตประมุขทิ้งไว้ และคนที่เลือก จะต้องไม่ถูกมองข้ามเพราะฐานะตัวตนของเขา”

“มีเหตุผล” ทูตซือคงกล่าวเห็นด้วย “เมื่อเป็นเช่นนั้น จ้าวเฉิงเฉียนเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด ช่วงนี้คุณจับตาการเคลื่อนไหวของเด็กคนนี้อยู่หรือไม่?”

ท่านมังกรเขียวยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “ท่านทูต คุณไม่ต้องอุบไว้อีกแล้ว อาจารย์กู้ต้าส่งคุณมาช่วยผม มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่ได้เตรียมการมาล่วงหน้า?”

“คุณจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าช่วงนี้จ้าวเฉิงเฉียนทำอะไรอยู่?”

ท่านมังกรเขียวกล่าวช้า ๆ

“คุณบอกมาตามตรงเถอะ รายชื่อที่คุณสงสัยมีใครบ้าง ผมจะได้ตรวจสอบกับคุณ”

“ฮ่า ๆ” ทูตซือคงยิ้มและกล่าวว่า “ท่านมังกรเขียว ช่างเป็นคนที่อัศจรรย์จริง ๆ ก่อนลงมือทำการใดมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว”

หลังจากนั้น สีหน้าของทูตซือคงเคร่งขรึม และหยิบจดหมายออกมาจากเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชา

“ท่านมังกรเขียว นี่คือเป้าหมายที่ผมสงสัย ผมมีความมั่นใจ ที่จะสรุปว่าทายาทของอดีตประมุขเป็นหนึ่งในนี้ นี่คือสิ่งที่ผมใช้ความพยายามอย่างมากสืบหาจนพบ”

ท่านมังกรเขียวรับจดหมายมาโดยไม่กล่าวอะไร และมองดูจดหมายที่อยู่ในมือ

“พูดเถอะ คุณสงสัยใครมากที่สุด? ต้องการให้ผมไปตรวจสอบ?” ท่านมังกรเขียวกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

“หลินอิ่ง”

ทูตซือคงมองไปที่ท่านมังกรเขียวด้วยดวงตาที่เยือกเย็น และเอ่ยชื่ออย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท