ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 658 คุณชายเก้าของตระกูลหลิน

บทที่ 658 คุณชายเก้าของตระกูลหลิน

“คุณ คุณเป็นใคร กล้ามาหาเรื่องในอาณาเขตของคุณชายอิ่ง?”

สีหน้าของถังฮุยซีดเผือด และดวงตาจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างเคร่งขรึม

“แค๊ก ๆ……”

ขณะที่พูด ถังฮุยอดไม่ได้ที่จะไอออกมาเป็นเลือด จับท้องของตนเองไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ฮ่า คุณชายอิ่ง หลินอิ่งเก่งนักหรือ?” ชายหนุ่มยิ้มเยาะเย้ย นัยน์ตาดูหมิ่น “อย่าคิดว่าหลินอิ่งมีชื่อเสียงในติงจี้ ก็จะสามารถทำให้ผมกลัวได้”

“หลินอิ่งสามารถเรียกตนเองว่าเป็นผู้นำในตี้จิงได้ ผมหลินชิงเย่ก็สามารถเป็นได้เช่นกัน”

หลินชิงเย่กล่าวอย่างจองหอง การแสดงออกเต็มไปด้วยความบ้าอำนาจเผด็จการ ราวกับว่าทุกอย่างไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

“หลินชิงเย่……”

ถังฮุยกลาวพึมพำกับตนเอง คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง

เขาไม่เคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มแข็งแกร่งคนนี้ และไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน

และไม่รู้ว่าคนโหดเหี้ยมคนนี้มาจากไหน ไม่ต้องพูดถึงทักษะฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวของเขา แม้แต่คุณชายอิ่งที่มีอำนาจในตี้จิงมากขนาดนี้ ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา

“หลินชิงเย่ ไม่ว่าคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหน คุณก็ควรเข้าใจหลักการที่ว่าผู้แข็งแกร่งจะไม่กดดันกองกำลังท้องถิ่น คุณชายอิ่งออกไปทำธุระ แล้วคุณพาคนมาสร้างความวุ่นวายในตี้จิง ถ้าคุณชายอิ่งกลับมาแล้ว คุณจะให้คำอธิบายกับเขาอย่างไร” หรงหยังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และมีร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏอยู่ในดวงตา

ในฐานะอดีตเจ้าสำนักแก๊งหยางเหมิน หรงหยังก็เคยทำมาหากินอยู่ในแวดวงลึกลับ เขารู้ถึงการดำรงอยู่ของตระกูลหลินแห่งลังยา และรู้จักคนอย่างหลินชิงเย่

หลินชิงเย่เป็นเด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถคนหนึ่งของตระกูลหลินแห่งลังยา อยู่ในระดับรายการแห่งดินตั้งแต่อายุน้อย และเขามีชื่อเสียงในแวดวงลึกลับเป็นอย่างมาก และศักยภาพของเขานั้นไร้ขีดจำกัด

โดยเฉพาะ คนคนนี้ยังมีฐานะภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลหลินแห่งลังยาอีกด้วย

หรงหยังรู้ว่าตระกูลหลินแห่งลังยาซึ่งเป็นผู้นำหกตระกูลในแวดวงลึกลับ มีฐานะภูมิหลังที่มั่นคง และบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลหลินเป็นบุคคลในตำนานของประเทศหลุง ตำแหน่งและความแข็งแกร่งในแวดวงลึกลับนั้นอยู่เหนือแก๊งหยางเหมิน ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบอันดับ

“อธิบาย? ผมจำเป็นต้องอธิบายให้หลินอิ่งลูกนอกคอกทราบด้วยหรือ?” หลินชิงเย่กล่าวเย้ยหยัน การแสดงออกของเขาหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก

“พวกคุณรู้ไหมว่าเจ้านายของพวกคุณ หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยา?” หลินชิงเย่กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “ตำแหน่งของเขาในตระกูลหลินนั้นยังไม่เพียงพอที่จะท้าทายผม”

“ยิ่งไปกว่านั้น หลินอิ่งไม่เข้าใจศักดิ์ศรีและความต่ำต้อย คราวที่แล้วได้ทำร้ายผู้อาวุโสหลายคนในตี้จิง ที่ผมมาคราวนี้ก็เพื่อที่จะมาลงโทษเขา”

“พวกคุณรีบบอกมาเร็ว ๆ ว่าหลินอิ่งไปไหน? เขาหลบซ่อนตัวยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”

หลินชิงเย่บีบบังคับถามอย่างจริงจัง

“ถ้าพวกคุณไม่พูดอะไร ผมจะหักแขนขาของพวกคุณทั้งหมด!”

“นี่……”

ถังฮุยและหรงหยังตกใจ และมองหน้ากัน

ทั้งสองคนตกใจกับข้อมูลที่หลินชิงเย่เปิดเผย

คุณชายหลินเป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยา?

นี่มันเป็นจริงหรือ?

มีแสงประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาของหรงหยัง

ก่อนหน้านั้นเขาเคยคาดเดาเกี่ยวกับฐานะภูมิหลังของหลินอิ่ง แต่เขาไม่คาดคิดว่า ฐานะภูมิหลังของคุณชายอิ่งจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เขาเป็นลูกชายของตระกูลหลินแห่งลังยา?

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขาจะมีอำนาจมากมายเช่นนี้

ตระกูลหลินแห่งลังยา เมื่อเทียบกับตระกูลผู้ดีชั้นสูงทั้งห้าของตี้จิงแล้ว แข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า

อย่างไรเสีย นี่คือตระกูลสูงสุดที่อยู่ในแวดวงลึกลับมาหลายร้อยปี มีพลังงานที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของโลกได้ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว

โดยเฉพาะ คราวนี้หลินชิงเย่มาเป็นตัวแทนของตระกูลตระกูลหลินแห่งลังยา

ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในของตระกูลหลิน

สิ่งนี้ทำให้หรงหยังและถังฮุยรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร และไม่สามารถระงับสถานการณ์นี้ได้

“หลินชิงเย่ ถึงแม้ว่าสิ่งที่คุณพูดจะเป็นความจริง แต่อย่างไรเสีย ตี้จิงก็เป็นอาณาเขตของคุณชายอิ่ง คุณไม่มีความกังวลสักนิดเลยหรือ?” หรงหยังถามด้วยเสียงที่เคร่งขรึม

“ฮ่า ๆ ๆ…” หลินชิงเย่หัวเราะหยอกเย้า

“อาณาเขตของคุณชายอิ่ง หลินอิ่งไม่สามารถถือเป็นอะไรได้” หลินชิงเย่กล่าวอย่างจองหอง “ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาในโลกนี้ ถ้าตระกูลหลินต้องการจะเอาคืน ก็สามารถเอาคืนได้ทุกเมื่อ”

“พวกคุณต้องรู้ว่า หลินอิ่งต้องพึ่งพาอาศัยอำนาจของตระกูลหลิน พวกคุณที่เป็นลูกน้อง ยังมองทิศทางของลมไม่ออกอีกหรือ?”

“ผมแทบหมดความอดทนกับพวกคุณแล้ว” หลินชิงเย่กล่าวอย่างหงุดหงิด “รีบบอกผมว่าหลินอิ่งอยู่ที่ไหน แล้วก็ส่งมอบธุรกิจของเขาในตี้จิงให้ผมอย่างชัดเจน”

“มิเช่นนั้น ฆ่าไม่มีละเว้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินชิงเย่จ้องไปที่ถังฮุยและหรงหยังทั้งสองคนด้วยสายตาที่เฉียบคม เผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่าที่รุนแรง

หน้าผากของถังฮุยและหรงหยังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ พวกเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

กริ่ง ๆ ๆ

ขณะนี้ โทรศัพท์มือถือของหลินชิงเย่ดังขึ้น ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้เขา

“คุณชายเก้า ปู่เจ็ดเป็นคนโทรมา”

หลินชิงเย่รับโทรศัพท์และถามว่า “ปู่เจ็ด สถานการณ์ทางคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ชิงเย่ ผมรู้ที่อยู่ของหลินอิ่งแล้ว ไม่ต้องเสียเวลากับคนไร้ประโยชน์ทั้งสองนั้นอีกต่อไป ตอนนี้คุณลงมาข้างล่างตึก”

“ครับ”

หลินชิงเย่กดวางสาย และยิ้มเยาะเย้ยถังฮุยและหรงหยัง

“จับกุมคนไร้ประโยชน์ที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีสองคนนี้ไว้ แล้วดูแลอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ จัดคนดำเนินการเข้าครอบครองธุรกิจทั้งหมดของหลินอิ่งในตี้จิงภายในหนึ่งวัน”

หลินชิงเย่ออกคำสั่งให้ผู้ติดตาม แล้ววางมาดเดินลงไปข้างล่างตึก

อาคารดวงดาว ล้านกว้างใต้ตึก

ขณะนี้ มีรถยนต์หรูหราสีดำจอดอยู่สิบกว่าคัน

กลุ่มชายหนุ่มในชุดสูทรวมตัวกัน ตอนนี้หยูจื๋อเฉิงพาคนมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว

เย่เฮยและหวงชิงซานก็เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เช่นกัน

ขณะนี้ คนสามคนที่หลินอิ่งได้มอบหมายให้ทำหน้าที่ปกป้องอาณาเขตของตนเองในตี้จิง พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าหลายคน

ชายวัยกลางคนสวมสูทสีดำเรียบง่าย มองเย่เฮยและหวงชิงซานด้วยดวงตาที่เคร่งขรึม

“หลินอิ่งมีลูกน้องยอดฝีมือหลายคน และฝีมือของพวกคุณไม่เลว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ” ชายวัยกลางคนกล่าวช้า ๆ “หลังจากกลับไปแล้ว ไปรายงานหลินอิ่งว่า ให้มาหาผมที่ตี้จิงภายในสามวัน และบอกเขาว่าผมเป็นปู่เจ็ดของเขา”

คนที่พูดคือปู่เจ็ดของตระกูลหลินแห่งลังยา หลินสวนถูซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับปู่ของหลินอิ่ง

ฝีมือการต่อสู้ก็แข็งแกร่งเช่นกัน

จุดประสงค์ที่ลงมาจากภูเขาลังยาคราวนี้คือการตามหาหลินอิ่ง และจับตัวหลินอิ่งกลับไปตระกูลหลิน และมาตามหาสถานที่ที่หลินอิ่งต่อสู้กับคนของตระกูลหลินเมื่อครั้งก่อน

เย่เฮยและหวงชิงซานนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร จ้องเขม็งไปที่หลินสวนถู

เมื่อสักครู่ พวกเขาสองคนได้ต่อสู้กับคนคนนี้แล้ว

พวกเขาสองคนร่วมมือกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรหลินสวนถูได้

นี่คือยอดฝีมือไร้เทียมทาน ซึ่งกำลังถึงระดับของรายการแห่งฟ้าแล้ว

“ปู่เจ็ด คุณตรวจสอบจนเจออะไร? รู้ว่าหลินอิ่งกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

หลินชิงเย่เดินออกจากอาคารและกล่าวถาม

“หลินอิ่งกลับไปที่มณฑลตุงไห่แล้ว ว่ากันว่าเขาไปหาภรรยา” หลินสวนถูกล่าว “เย่ชิง คุณรีบพาคนไปที่มณฑลตุงไห่ด้วยตนเอง แล้วจับตัวหลินอิ่งกลับมา”

“ผมจัดการทุกอย่างในตี้จิงเอง”

“ผมจะคอยดูว่า หลินอิ่งสามารถหลบซ่อนได้นานอีกแค่ไหน เมื่อเห็นว่าอาณาจักรธุรกิจที่เขาสร้างไว้นั้นถูกพวกเราแย่งครอบครอง เขาจะเจ็บปวดแค่ไหน”

หลินสวนถูกล่าวด้วยท่าทางหยอกเย้า

“ได้ครับ ปู่เจ็ด งั้นคนพวกนี้มอบให้คุณจัดการ ผมจะไปจับตัวหลินอิ่งที่มณฑลตุงไห่ทันที” หลินชิงเย่กล่าวเบา ๆ

ดูเหมือนว่าในสายตาของเขาแล้ว การจะจับหลินอิ่งเป็นเรื่องง่ายดายมาก

เมื่อฟังการสนทนาที่ท้าทายระหว่างทั้งสอง

เย่เฮยและหวงชิงซานหน้าเขียว และดูเหมือนว่าพวกเขาพร้อมที่จะบุกตลอด

“ทำไม? คุณสองคนยังไม่พอใจอีกหรือ? เจ้านายของคุณหลบซ่อนแล้ว สุนัขเฝ้าบ้านอย่างพวกคุณ จะสามารถทำอะไรได้อีก”

หลินชิงเย่เหลือบมองเย่เฮยและหวงชิงซานและกล่าวหยอกเย้า

“ผมไม่กลัวที่จะบอกคุณ ผมจัดการหลินอิ่งแน่นอน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท