“นี่……”
เมื่อจางฉีโม่เห็นครอบครัวของลู่ฉ่ายเชีย เธอมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
คราวก่อนตอนอยู่ที่บ้านของพวกเขา ก็มีเรื่องทะเลาะกันจนวุ่นวาย
“โธ่เอ๋ย จางฉีโม่ ผมได้ยินมาว่าหลินอิ่งลูกเขยแต่งเข้าที่เก่งกาจมาที่อำเภอเจียงเยว่แล้ว?” ไอ้เฉียนมองไปที่จางฉีโม่ด้วยท่าทางหยอกล้อ
“เห็นบอกว่าหลินอิ่งเป็นคนที่มีความสามารถไม่ใช่หรือ? ทำไมพอมาถึงอำเภอเจียงเยว่ ก็ถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“พวกคุณมาที่นี่ได้อย่างไร พวกคุณมาที่นี่ทำไม?” จางฉีโม่ถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
เธออารมณ์ไม่ดีเพราะอาการบาดเจ็บของหลินอิ่ง
ทันทีที่เห็นครอบครัวนี้วิพากษ์วิจารณ์หลินอิ่งด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ก็ทำให้เธอโมโหขึ้นมาทันที
“ทำไมหรือ? ฉีโม่ แค่ไม่เห็นไม่กี่วัน ไม่กล่าวทักทายผู้หลักผู้ใหญ่แล้วหรือ?” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ “ไม่ใช่ว่าลูกเขยที่เก่งกาจของพวกคุณมาแล้ว ก็เลยหยิ่งยโสจนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา?”
“พวกคุณยังจะพูดอะไรอีก พวกคุณเป็นใคร? ไม่รู้จักพวกเราแล้วหรือ?” ไอ้เฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ไม่พอใจกับกิริยาของจางฉีโม่
“คุณพ่อ คุณแม่” จางฉีโม่มองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยและสามี และถามด้วยความโมโหว่า “พวกคุณเป็นคนบอกพวกเขาว่าฉันอยู่ที่นี่เหรอ?”
“ก็ลูกเป็นคนบอกเองว่าลูกกับหลินอิ่งอยู่ที่โรงพยาบาล….” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างคลุมเครือ “แม่แค่ให้ป้าของลูกมาเยี่ยมหลินอิ่งเท่านั้น…”
ตอนแรกลู่หย่าฮุ่ยคิดที่ให้ลู่ฉ่ายเชียและสามีของเธอมาเห็นความสามารถและเส้นสายของหลินอิ่ง และอาศัยเส้นสายของหลินอิ่งในการเพิ่มบารมี
แต่ไม่คาดคิดว่า ที่หลินอิ่งอยู่ในโรงพยาบาล เพราะเขาถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไม่รู้สึกตัว?
ตอนนี้ สถานการณ์น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี
“ฮึ่ม!” จางฉีโม่ถอนหายใจด้วยความโมโหด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“โธ่ เกิดอะไรขึ้น? น้องหย่าฮุ่ย เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของคุณ?” ลู่ฉ่ายเชียถามด้วยความสงสัย “ไอ้เฉียนได้ยินมาว่าลูกเขยของคุณถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พวกเราจึงไปหาแพทย์จีนเขียนใบสั่งยา และซื้อผลไม้มาเยี่ยม”
“พวกคุณแสดงกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ยินดีต้อนรับที่พวกเรามาเยี่ยมหลินอิ่งหรือ?”
“หรือกลัวอับอายขายหน้า? เพราะรู้ว่าลูกเขยของตนเองถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แล้วมันเป็นเรื่องน่าละอายใช่ไหม?”
หลังจากกล่าวแล้ว ลู่ฉ่ายเชียมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยด้วยท่าทางหยอกล้อ ด้วยสีหน้ารู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่น
เธอคิดแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก ลู่หย่าฮุ่ยคุยโวโอ้อวดต่อหน้าเธอว่าหลินอิ่งมีฐานะภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ และมีอำนาจมากมาย
แล้วยังบอกว่าหลินอิ่งมาที่อำเภอเจียงเยว่ แล้วก็จะมอบโครงการใหญ่ให้ครอบครัวของตนเอง
ผลลัพธ์ล่ะ? ถูกคนทำร้ายจนหมดสติในเมืองเล็ก ๆ และแม้แต่ปัญหาเล็กก็ไม่สามารถจัดการได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นคุณชายใหญ่แห่งตี้จิง?
นี่เป็นการคุยโวโอ้อวดมากเกินไป?
“หลินอิ่งเกิดปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คนของเขาจะจัดการเอง” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยความอึดอัด
“โธ่ น้องหย่าฮุ่ย คุณไม่ต้องปิดบังฉันหรอก ฉันรู้จักและสนิทสนมกับผู้อำนวยการหลิวของโรงพยาบาล และสอบถามแล้ว” ลู่ฉ่ายเชียกล่าว “มีคนบอกว่าหลินอิ่งถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา”
“ฉันบอกกับผู้อำนวยการหลิวแล้วว่าหลินอิ่งเป็นญาติของฉัน ช่วยดูแลเขาเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับเธอที่แอบซ่อนไว้เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้”
“เป็นอะไรก็คืออะไร ไม่ต้องกลัวเสียหน้า บอกมาเถอะว่าเขาโดนใครทำร้าย?” ไอ้เฉียนกล่าว “น้องหย่าฮุ่ย ยังไงผมก็ยังถือว่ามีหน้าตาในอำเภอเจียงเยว่เล็ก ๆ แห่งนี้”
“คุณบอกผมมาเลยว่าใครเป็นคนที่ทำร้ายหลินอิ่งจนอยู่ในสภาพนี้? เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติกัน แล้วก็เกิดเรื่องในอาณาเขตของผม เรื่องนี้ผมไม่สามารถละเลยได้”
“ขอแค่มีเหตุผล ผมต้องขอความเป็นธรรมกลับมาให้ครอบครัวของคุณแน่นอน!”
ไอ้เฉียนกล่าวด้วยท่าทางที่มั่นใจ คำพูดของเขาน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก
เขาเป็นคนที่พูดจาดีมาก
อย่างไรก็ตาม เพียงแต่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ จนทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป
เมื่อครอบครัวของจางฉีโม่ฟังแล้ว รู้สึกแสลงหู และเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
นี้เป็นการถากถาง
“พวกคุณ พวกคุณมันมากเกินไปแล้ว!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห “เรื่องครอบครัวเราไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้!”
“โอ้! ฉีโม่ คุณจะโมโหขนาดนั้นทำไม? และคุณก็ไม่ควรพูดเช่นนี้ด้วย”
“ตอนแรก พวกคุณเป็นคนพูดเองว่าหลินอิ่งนั้นมีความสามารถมาก พวกคุณมีลูกเขยที่เก่งเป็นอย่างมาก แล้วยังบอกว่าจะมอบโครงการใหญ่ให้ไอ้เฉียนทำอีกด้วย” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ครอบครัวเรารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”
“ทันทีที่พวกเราได้ยินว่าหลินอิ่งถูกทำร้ายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไอ้เฉียนวางมือจากงานแล้วรีบมาเยี่ยมหลินอิ่งที่โรงพยาบาลทันที”
“น้องหย่าฮุ่ย กิริยาที่ครอบครัวคุณแสดงนี้ ทำให้พวกเรารู้สึกผิดหวังจริง ๆ”
“ฉีโม่ ลูกพูดจาดี ๆ อย่าพูดก้าวร้าวกับผู้อาวุโสมากเกินไป” จางซิ่วเฟิงกล่าวเตือน
“ฉันไม่สนว่าจะเป็นผู้อาวุโสอะไรทั้งนั้น? ฉันไม่ต้องการที่จะได้ยินใครพูดเรื่องไม่ดีของหลินอิ่งต่อหน้าฉัน” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห
“ฮึ่ม” ไอ้เฉียนฮึ่มประโยคหนึ่ง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แล้วมีคำพูดไหนว่าหลินอิ่งไม่ดีล่ะ?”
“ฉีโม่ ถ้าจะให้พูดนินทาเรื่องไม่ดีของหลินอิ่งแล้ว มันจะพูดไม่จบ”
“หลินอิ่งรังแกคนตระกูลลู่ของพวกเราไม่น้อย ลูกสาวของน้องแปดก็ถูกหลินอิ่งตบหน้าไม่ใช่หรือ? แล้วหลินอิ่งยังได้ทำร้ายลูกชายน้องห้าอีกด้วย?”
“เรื่องพวกนี้ผมยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย! เพราะเห็นว่าเขาน่าสงสาร กลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนอยู่ในโรงพยาบาล จึงไม่อยากจะถือสาเขา”
“มิฉะนั้น ถ้าคนอื่นไม่ทำร้ายหลินอิ่งจนพิการ ผมก็จะทำให้เขาพิการเอง!” ไอ้เฉียนกล่าวอย่างเย็นชา ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินประโยคนี้ จางฉีโม่รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และกล่าวอย่างเย็นชา “พวกคุณอย่าพูดเหลวไหล หลินอิ่งไม่ได้เป็นคนทำเรื่องพวกนั้น!”
“หลินอิ่งไม่ได้เป็นคนทำหรือ? ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเคยทำหรือ?”
ไอ้เฉียนกล่าวเย้ยหยัน “นิสัยอย่างหลินอิ่ง น่าจะทำงานให้คนอื่นได้ไม่ดี ก็เลยถูกคนอื่นทำร้ายจนมีสภาพเป็นเจ้าชายนิทราเช่นนี้?”
“เห็นได้ชัดว่า นิสัยของหลินอิ่งแย่ มิเช่นนั้นจะเกิดความแค้นใหญ่ขนาดนี้ได้หรือ? ทำให้ถูกคนอื่นทำร้ายจนปางตายเช่นนี้?”
“ขนาดอยู่อำเภอเจียงเยว่ยังถูกคนทำร้ายจนต้องเขารักษาตัวในโรงพยาบาล มีความสามารถแค่นี้เอง พวกคุณยังมาคุยโวโอ้อวดอีก?”
“พูดตามตรง คนข้างนอกพูดถูกต้องแล้วว่าหลินอิ่งเป็นลูกเขยที่ไร้ประโยชน์”