ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 661 หลินอิ่งมีความสามารถแค่นี้หรือ?

บทที่ 661 หลินอิ่งมีความสามารถแค่นี้หรือ?

“นี่……”

เมื่อจางฉีโม่เห็นครอบครัวของลู่ฉ่ายเชีย เธอมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

คราวก่อนตอนอยู่ที่บ้านของพวกเขา ก็มีเรื่องทะเลาะกันจนวุ่นวาย

“โธ่เอ๋ย จางฉีโม่ ผมได้ยินมาว่าหลินอิ่งลูกเขยแต่งเข้าที่เก่งกาจมาที่อำเภอเจียงเยว่แล้ว?” ไอ้เฉียนมองไปที่จางฉีโม่ด้วยท่าทางหยอกล้อ

“เห็นบอกว่าหลินอิ่งเป็นคนที่มีความสามารถไม่ใช่หรือ? ทำไมพอมาถึงอำเภอเจียงเยว่ ก็ถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“พวกคุณมาที่นี่ได้อย่างไร พวกคุณมาที่นี่ทำไม?” จางฉีโม่ถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

เธออารมณ์ไม่ดีเพราะอาการบาดเจ็บของหลินอิ่ง

ทันทีที่เห็นครอบครัวนี้วิพากษ์วิจารณ์หลินอิ่งด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ก็ทำให้เธอโมโหขึ้นมาทันที

“ทำไมหรือ? ฉีโม่ แค่ไม่เห็นไม่กี่วัน ไม่กล่าวทักทายผู้หลักผู้ใหญ่แล้วหรือ?” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ “ไม่ใช่ว่าลูกเขยที่เก่งกาจของพวกคุณมาแล้ว ก็เลยหยิ่งยโสจนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา?”

“พวกคุณยังจะพูดอะไรอีก พวกคุณเป็นใคร? ไม่รู้จักพวกเราแล้วหรือ?” ไอ้เฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ไม่พอใจกับกิริยาของจางฉีโม่

“คุณพ่อ คุณแม่” จางฉีโม่มองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยและสามี และถามด้วยความโมโหว่า “พวกคุณเป็นคนบอกพวกเขาว่าฉันอยู่ที่นี่เหรอ?”

“ก็ลูกเป็นคนบอกเองว่าลูกกับหลินอิ่งอยู่ที่โรงพยาบาล….” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างคลุมเครือ “แม่แค่ให้ป้าของลูกมาเยี่ยมหลินอิ่งเท่านั้น…”

ตอนแรกลู่หย่าฮุ่ยคิดที่ให้ลู่ฉ่ายเชียและสามีของเธอมาเห็นความสามารถและเส้นสายของหลินอิ่ง และอาศัยเส้นสายของหลินอิ่งในการเพิ่มบารมี

แต่ไม่คาดคิดว่า ที่หลินอิ่งอยู่ในโรงพยาบาล เพราะเขาถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไม่รู้สึกตัว?

ตอนนี้ สถานการณ์น่าอึดอัดเป็นอย่างมาก แม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี

“ฮึ่ม!” จางฉีโม่ถอนหายใจด้วยความโมโหด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดเป็นอย่างมาก

“โธ่ เกิดอะไรขึ้น? น้องหย่าฮุ่ย เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของคุณ?” ลู่ฉ่ายเชียถามด้วยความสงสัย “ไอ้เฉียนได้ยินมาว่าลูกเขยของคุณถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พวกเราจึงไปหาแพทย์จีนเขียนใบสั่งยา และซื้อผลไม้มาเยี่ยม”

“พวกคุณแสดงกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ยินดีต้อนรับที่พวกเรามาเยี่ยมหลินอิ่งหรือ?”

“หรือกลัวอับอายขายหน้า? เพราะรู้ว่าลูกเขยของตนเองถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แล้วมันเป็นเรื่องน่าละอายใช่ไหม?”

หลังจากกล่าวแล้ว ลู่ฉ่ายเชียมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยด้วยท่าทางหยอกล้อ ด้วยสีหน้ารู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่น

เธอคิดแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องตลก ลู่หย่าฮุ่ยคุยโวโอ้อวดต่อหน้าเธอว่าหลินอิ่งมีฐานะภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ และมีอำนาจมากมาย

แล้วยังบอกว่าหลินอิ่งมาที่อำเภอเจียงเยว่ แล้วก็จะมอบโครงการใหญ่ให้ครอบครัวของตนเอง

ผลลัพธ์ล่ะ? ถูกคนทำร้ายจนหมดสติในเมืองเล็ก ๆ และแม้แต่ปัญหาเล็กก็ไม่สามารถจัดการได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเป็นคุณชายใหญ่แห่งตี้จิง?

นี่เป็นการคุยโวโอ้อวดมากเกินไป?

“หลินอิ่งเกิดปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คนของเขาจะจัดการเอง” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยความอึดอัด

“โธ่ น้องหย่าฮุ่ย คุณไม่ต้องปิดบังฉันหรอก ฉันรู้จักและสนิทสนมกับผู้อำนวยการหลิวของโรงพยาบาล และสอบถามแล้ว” ลู่ฉ่ายเชียกล่าว “มีคนบอกว่าหลินอิ่งถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา”

“ฉันบอกกับผู้อำนวยการหลิวแล้วว่าหลินอิ่งเป็นญาติของฉัน ช่วยดูแลเขาเป็นพิเศษ ไม่เหมือนกับเธอที่แอบซ่อนไว้เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้”

“เป็นอะไรก็คืออะไร ไม่ต้องกลัวเสียหน้า บอกมาเถอะว่าเขาโดนใครทำร้าย?” ไอ้เฉียนกล่าว “น้องหย่าฮุ่ย ยังไงผมก็ยังถือว่ามีหน้าตาในอำเภอเจียงเยว่เล็ก ๆ แห่งนี้”

“คุณบอกผมมาเลยว่าใครเป็นคนที่ทำร้ายหลินอิ่งจนอยู่ในสภาพนี้? เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นญาติกัน แล้วก็เกิดเรื่องในอาณาเขตของผม เรื่องนี้ผมไม่สามารถละเลยได้”

“ขอแค่มีเหตุผล ผมต้องขอความเป็นธรรมกลับมาให้ครอบครัวของคุณแน่นอน!”

ไอ้เฉียนกล่าวด้วยท่าทางที่มั่นใจ คำพูดของเขาน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก

เขาเป็นคนที่พูดจาดีมาก

อย่างไรก็ตาม เพียงแต่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ จนทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป

เมื่อครอบครัวของจางฉีโม่ฟังแล้ว รู้สึกแสลงหู และเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย

นี้เป็นการถากถาง

“พวกคุณ พวกคุณมันมากเกินไปแล้ว!” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห “เรื่องครอบครัวเราไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณ พวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้!”

“โอ้! ฉีโม่ คุณจะโมโหขนาดนั้นทำไม? และคุณก็ไม่ควรพูดเช่นนี้ด้วย”

“ตอนแรก พวกคุณเป็นคนพูดเองว่าหลินอิ่งนั้นมีความสามารถมาก พวกคุณมีลูกเขยที่เก่งเป็นอย่างมาก แล้วยังบอกว่าจะมอบโครงการใหญ่ให้ไอ้เฉียนทำอีกด้วย” ลู่ฉ่ายเชียกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ครอบครัวเรารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”

“ทันทีที่พวกเราได้ยินว่าหลินอิ่งถูกทำร้ายและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไอ้เฉียนวางมือจากงานแล้วรีบมาเยี่ยมหลินอิ่งที่โรงพยาบาลทันที”

“น้องหย่าฮุ่ย กิริยาที่ครอบครัวคุณแสดงนี้ ทำให้พวกเรารู้สึกผิดหวังจริง ๆ”

“ฉีโม่ ลูกพูดจาดี ๆ อย่าพูดก้าวร้าวกับผู้อาวุโสมากเกินไป” จางซิ่วเฟิงกล่าวเตือน

“ฉันไม่สนว่าจะเป็นผู้อาวุโสอะไรทั้งนั้น? ฉันไม่ต้องการที่จะได้ยินใครพูดเรื่องไม่ดีของหลินอิ่งต่อหน้าฉัน” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโมโห

“ฮึ่ม” ไอ้เฉียนฮึ่มประโยคหนึ่ง และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แล้วมีคำพูดไหนว่าหลินอิ่งไม่ดีล่ะ?”

“ฉีโม่ ถ้าจะให้พูดนินทาเรื่องไม่ดีของหลินอิ่งแล้ว มันจะพูดไม่จบ”

“หลินอิ่งรังแกคนตระกูลลู่ของพวกเราไม่น้อย ลูกสาวของน้องแปดก็ถูกหลินอิ่งตบหน้าไม่ใช่หรือ? แล้วหลินอิ่งยังได้ทำร้ายลูกชายน้องห้าอีกด้วย?”

“เรื่องพวกนี้ผมยังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย! เพราะเห็นว่าเขาน่าสงสาร กลายเป็นเจ้าชายนิทรานอนอยู่ในโรงพยาบาล จึงไม่อยากจะถือสาเขา”

“มิฉะนั้น ถ้าคนอื่นไม่ทำร้ายหลินอิ่งจนพิการ ผมก็จะทำให้เขาพิการเอง!” ไอ้เฉียนกล่าวอย่างเย็นชา ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จางฉีโม่รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก และกล่าวอย่างเย็นชา “พวกคุณอย่าพูดเหลวไหล หลินอิ่งไม่ได้เป็นคนทำเรื่องพวกนั้น!”

“หลินอิ่งไม่ได้เป็นคนทำหรือ? ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเคยทำหรือ?”

ไอ้เฉียนกล่าวเย้ยหยัน “นิสัยอย่างหลินอิ่ง น่าจะทำงานให้คนอื่นได้ไม่ดี ก็เลยถูกคนอื่นทำร้ายจนมีสภาพเป็นเจ้าชายนิทราเช่นนี้?”

“เห็นได้ชัดว่า นิสัยของหลินอิ่งแย่ มิเช่นนั้นจะเกิดความแค้นใหญ่ขนาดนี้ได้หรือ? ทำให้ถูกคนอื่นทำร้ายจนปางตายเช่นนี้?”

“ขนาดอยู่อำเภอเจียงเยว่ยังถูกคนทำร้ายจนต้องเขารักษาตัวในโรงพยาบาล มีความสามารถแค่นี้เอง พวกคุณยังมาคุยโวโอ้อวดอีก?”

“พูดตามตรง คนข้างนอกพูดถูกต้องแล้วว่าหลินอิ่งเป็นลูกเขยที่ไร้ประโยชน์”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท