ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 667 หลินอิ่งฟื้นแล้ว

บทที่ 667 หลินอิ่งฟื้นแล้ว

โรงพยาบาลที่หนึ่งอำเภอในมณฑลเจียงเยว่

บนชั้นแปด ในห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่ง

จางฉีโม่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าง่วงจนหลับไปแล้ว

เธอนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงหลินอิ่งทุกวัน และหลายวันมานี้เธอรู้สึกทรมานมาก และรู้สึกไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก

ความทรมานของจางฉีโม่นั้นไม่สามารถจินตนาการได้

ถ้าหลินอิ่งไม่สามารถฟื้น และกลายเป็นเจ้าชายนิทราจริง ๆ แล้วเธอจะเผชิญชีวิตในอนาคตอย่างไร

เธอต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ จางฉีโม่คิดมาก คิดจนรู้สึกสับสน ทำให้ร่างกายของเธอซุบผอมลงไปมาก

ในเวลานี้ แพทย์ชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมสีขาวเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา เขาเหลือบมองจางฉีโม่ที่กำลังหลับ และไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของเธอ

เขาวางเครื่องมือและขวดยาลง เตรียมที่จะเปลี่ยนยาให้หลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย

เมื่อเห็นฉากนี้ คุณหมอหลิวถอนหายใจด้วยความประทับใจ

เขาสามารถเห็นความรักลึกซึ้งที่คุณจางมีต่อหลินอิ่งสามีของเธอ

เป็นที่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของหลินอิ่งนั้นยากต่อการรักษาฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยีที่สมัยนี้

“อืม?”

คุณหมอหลิวกำลังถือขวดยาอยู่ ขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนขวด

ทันใดนั้น เขาก็แสดงท่าทางประหลาดใจและตกใจเป็นอย่างมาก

เพราะว่าหลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียง ขณะนี้นิ้วของเขาก็ขยับขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“นี่ นี่มัน…….”

คุณหมอหลิวสูดลมหายใจ และแสดงท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อ

ซึ่งมันขัดกับความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป เขาเป็นแพทย์มาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

อาการบาดของหลินอิ่งนั้นสาหัสมาก ตามปกติแล้วยังไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตนเองได้

หลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มีแสงที่น่าเกรงขามประกายอยู่ในดวงตาของเขา

“ที่นี่คือที่ไหน?”

มีความสงสัยเล็กน้อยอยู่ในดวงตาของหลินอิ่ง และเขามองไปสภาพแวดล้อมโดยรอบ

เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย

ในความทรงจำของเขา หลังจากที่ฆ่าท่านมังกรดำแล้ว เขาก็กอดฉีโม่……

สภาพแวดล้อมตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นโรงพยาบาล?

ตนเองหมดสติไปนานแค่ไหน?

หลินอิ่งขยับไหล่ มือและเท้า รู้สึกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่กล้ามเนื้อแข็งเล็กน้อย ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม กำลังภายในเส้นลมปราณในร่างกายดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะนิ่ง ทำให้ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้กำลังภายในได้

“หลังจากการต่อสู้คราวนี้ ระยะวัฏจักรยิ่งทำให้ร้ายแรงขึ้นไปอีก……” หลินอิ่งกล่าวพึมพำกับตนเอง

หลินอิ่งรู้สึกว่า ถึงแม้อาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขาจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงไปอีก

ก่อนที่จะต่อสู้กับท่านมังกรดำ ยังสามารถระเบิดความแข็งแกร่งของการต่อสู้ได้

ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ระยะหนึ่ง ทำให้เขากลับไปเป็นเหมือนช่วงเวลาที่อยู่เมืองชิงหยูน และไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป

ทำให้สีหน้าของหลินอิ่งกลายเป็นเคร่งขรึม

โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติ แต่ไม่สามารถใช้พลังได้นั้นถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเขา

ในช่วงเวลาของระยะวัฏจักรนี้ บางทีเขาอาจต้องปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ และอาจจะซ่อนเร้นความสามารถ

หลังจากตัดสินใจ หลินอิ่งมองไปด้านข้าง เห็นฉีโม่นอนพิงอยู่บนเตียง เขาอดไม่ได้จนเกิดรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก

เขาเอื้อมมือไปดึงเข็มออก แล้วค่อย ๆ ถอดอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากร่างกาย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และลงจากเตียงผู้ป่วย

“คุณหลิน คุณ คุณ?”

คุณหมอหลิวมองหลินอิ่งที่ยืนขึ้น ตกตะลึงพร้อมกับประหลาดใจ

“คุณเพิ่งฟื้น อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หาย คุณอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว!” คุณหมอหลิวเดินเข้าไปหยุดเขาไว้ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับหลินอิ่ง

หลินอิ่งยิ้ม แล้วทำสัญญาณมือ เพื่อบอกให้คุณหมอหลิวพูดเสียงเบา ๆ

หลังจากคุณหมอหลิวมองตามหลินอิ่ง เห็นจางฉีโม่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ด้านหนึ่ง ทำให้คุณหมอหลิวเข้าใจทันที

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ วินาทีแรกที่คุณหลินฟื้น คนที่เขาห่วงใยคือคุณนายหลิน

“คุณหมอ ตอนนี้อาการของผมไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ “ช่วงนี้ทำให้คุณหมอต้องลำบากในการดูแลผม อีกสักครู่ผมจะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล”

คุณหมอหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่หลินอิ่งที่เหมือนร่างกายจะหายเป็นปกติแล้ว พยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นผมก็ไม่รบกวนคุณหลินแล้ว หากคุณมีปัญหาอะไร สามารถกดกริ่งเรียกได้ทันที อีกสักครู่ผมจะให้คุณไปตรวจร่างกายแบบครบวงจร”

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

คุณหมอหลิวเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ยังคงตกใจกับการฟื้นของหลินอิ่ง เพราะมันล้มล้างความรู้ทางการแพทย์ของตนเอง

หลินอิ่งค่อย ๆ เดินไปอยู่ข้างฉีโม่ และมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก เขามองเธออย่างเงียบ ๆ

เขาสามารถเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาที่ตนเองนอนไม่ได้สติ ฉีโม่จะต้องวิตกกังวลแน่นอน และใบหน้าของเธอก็ซุบผอมไปไม่น้อย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินอิ่งก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาและลูบใบหน้าของจางฉีโม่

ดูเหมือนว่าจางฉีโม่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง

เมื่อเธอลืมตาขึ้นแล้วเห็นหลินอิ่ง ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“หลินอิ่ง คุณ คุณฟื้นแล้วหรือ? ฉัน ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?” จางฉีโม่ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยความประหลาดใจ

หลินอิ่งยิ้มแล้วใช้มือบีบหน้าของฉีโม่เล็กน้อย และกล่าวว่า “นี่ยังไม่สามารถปลุกคุณได้หรือ คุณยังคิดว่ากำลังฝันอยู่อีกไหม?”

“คุณทำอะไร?”

จางฉีโม่ฮึ่มประโยคหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ทันใดนั้นเธอก็เดินไปกอดหลินอิ่ง กอดแน่นราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะปล่อย

จางฉีโม่กอดหลินอิ่งโดยไม่พูดอะไร ในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย

เบ้าตานั้นเต็มไปด้วยน้ำตา

ความกังวลของจางฉีโม่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เธอรู้สึกว่าสวรรค์คุ้มครอง ทำให้หลินอิ่งฟื้น และเขาปรากฏตัวต่อหน้าเธอในสภาพเดิม

หลินอิ่งก็ไม่ได้พูดอะไร และกอดเธออย่างเงียบ ๆ

“หลินอิ่ง ในช่วงสองสามวันมานี้ฉันกลัวมาก ฉันกลัวจริง ๆ…” จางฉีโม่กล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

หลินอิ่งหรี่ตาลงและกล่าวว่า “ผมไม่ดีเอง ผมจะไม่ทำให้คุณเป็นห่วงเช่นนี้อีกแล้ว”

“ไม่ ฉันไม่ดี คุณอย่าบอกว่าตนเองไม่ดี” จางฉีโม่โน้มศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของหลินอิ่งและกล่าวด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด “ฉันจะไม่สงสัยคุณโดยไม่มีเหตุผลอีก คราวที่แล้วที่ฉันไม่อยากสนใจคุณ นั้นเป็นเพราะฉันคิดผิด……”

“แต่ฉันกังวลว่าคุณจะทิ้งฉันไป ไม่รู้ว่าคุณยังแคร์ฉันอยู่หรือเปล่า ดังนั้นฉันจึงทำเช่นนั้น……”

จางฉีโม่กล่าวเบา ๆ และยิ่งเธอพูดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งกอดหลินอิ่งแน่นขึ้นมากเท่านั้น

หลินอิ่งหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ฉีโม่ คุณวางใจเถอะ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คุณไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านอีก”

“อืม….” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเอนศีรษะของเธอลงบนไหล่ของหลินอิ่ง

หลังจากหยุดไปชั่วคราว จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่งอย่างกังวลและกล่าวว่า “หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บของคุณรุนแรงมากและกระดูกของคุณหักมากมาย ตอนนี้ร่างกายของคุณยังเจ็บปวดอยู่อีกไหม จะมีอันตรายภายหลังอีกหรือไม่?”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล” หลินอิ่งกล่าว

“ฉีโม่ คุณรู้ว่าผมไม่ใช่คนธรรมดา”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท