ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 674 ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

บทที่ 674 ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนึง มองดูแล้วท่าทางสุภาพ เดินเข้ามาอย่างมีระเบียบ และพาบอดี้การ์ดสวมชุดสูทมาด้วยสองคน

แกร๊ก

ชายสวมสูทดำสิบกว่าคน ก็เดินเรียงเข้ามาสองแถว บรรยากาศดูจัดเต็ม

เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่อยู่ในนี้ทั้งหมดก็ชะงัก

“พี่เหวิน ท่านมาได้ยังไง?” หลุยหรุ่ยสายตาสงสัยจ้องไปที่ผู้มาเยือน และทักทายอย่างเกรงใจ

“หรือว่า ประธานเหวิน คุณมาทานข้าวเหรอครับ? เวลาไม่ค่อยเหมาะ คืนนี้ผมมีเรื่องที่นี่นิดหน่อย รบกวนคุณแล้ว ผมจะชดเชย……” ลุงสองผู้มีเกียรติของหลุยหรุ่ยคนนั้น ก็เดินเข้ามา ทักทายอย่างมีมารยาท

ชายที่เดินเข้ามา พวกหลุยหรุ่ยสองคนต่างก็รู้จัก ก็คือลูกพี่ใหญ่ของอำเภอเจียงเยว่ เซเหวินเชิง

ในอำเภอเจียงเยว่ไม่ว่าจะเป็นคนสายงานไหน อยากจะรุ่งเรือง ก็ต่างจำเป็นต้องมาเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่ท่านนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดจะทำอะไรแล้ว

พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนเดินเข้ามาด้วยความกลัว ไม่ค่อยรู้เหตุผลที่เซเหวินเชิงพาคนมาที่โรงแรมเครสเซนต์

ลูกพี่ใหญ่ท่านนี้ เป็นบุคคลที่พวกเขาสองคนไม่สามารถขัดใจได้

“ประธานเหวิน เรื่องวันนี้ผมต้องขอโทษคุณด้วย คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาทานข้าวที่นี่ รบกวนการทานอาหารของคุณที่นี่ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ไว้ผมจะช่วยคุณในวันหลังนะครับ” หลุยหรุ่ยทักทายด้วยความเป็นมิตร พลางพูดอย่างเกรงใจ

เพี๊ยะ!

จู่ๆ เซเหวินเชิงก็ยกมือขึ้นแล้วตบลงไปที่หน้าของหลุยหรุ่ยหนึ่งที

ตบฉาดนี้ ทำเอาหลุยหรุ่ยงงไปหมด จนยืนอึ้งอยู่กับที่ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ แข็งขึ้น

“ประธานเหวิน ท่าน ท่านคือ……ผม ผมจะไปกล้าทำเรื่องให้ท่านไม่พอใจที่ไหนกัน……” หลุยหรุ่ยถูกตบ ในท้องเต็มไปด้วยน้ำโห แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย

เขาเลียหน้า และถามด้วยรอยยิ้มด้านๆ

“ประธานเหวิน คือว่า มีเรื่องคุยกันดีๆ นะครับ หลุยหรุ่ยทำให้ท่านไม่พอใจตรงไหน บังอาจให้ท่านบอกมาเถอะครับ กลับไปผมจะไปสั่งสอนเขาให้ดีครับ” ลุงสองของหลุยหรุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และอึ้งเล็กน้อย

ในอำเภอเจียงเยว่อิทธิพลของเซเหวินเชิงนั้นยิ่งใหญ่มาก

ในอำเภอเจียงเยว่หลุยหรุ่ยถือได้ว่าเป็นคนระดับสูงๆ ลุงสองของเขาก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ อันดับหนึ่งอันดับสองในอำเภอ

แต่เมื่อเทียบกลับท่านผู้ใหญ่ตรงหน้า กลับด้อยกว่ามากโข

ถึงยังไง เซเหวินเชิงก็มีภูมิหลังที่ลึกซึ้งในเมืองนี้ มีข่าวลือว่าเขาได้ติดต่อกับท่านเสิ่นซานแห่งเมืองชิงหยูนที่เป็นเมืองหลวงของมณฑล คนระดับสูงอย่างนั้น พวกเขาจะสามารถไปทำให้ไม่พอใจได้ยังไง

“พวกนายสองคนรนหาที่ตายใช่มั้ย? คนแซ่หลุยพวกนายทั้งตระกูล ไม่คิดจะอยู่ที่อำเภอเจียงเยว่แล้วใช่มั้ย?” เซเหวินเชิงพูดอย่างเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอาฆาต

“รบกวนฉันกินข้าวไม่เท่าไหร่ แต่ดันไปรบกวนการทานอาหารของคุณหลินกับภรรยาที่อยู่ด้านใน พวกนายนี่สมองหายไปแล้วหรือไง?” เซเหวินเชิงพูดอย่างดุร้าย

“ห้ะ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนก็สีหน้าเปลี่ยนทันที

ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักถึง ว่าได้ทำอะไรผิดไป

เซเหวินเชิงเป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นเรียกมา?

เมื่อได้ยินแบบนี้ แม้แต่เซเหวินเชิงยังปฏิบัติต่อสามีภรรยาคู่นั้นอย่างกับพระเจ้า!

นี่ สรุปแล้วว่าเขาไปทำให้ใครไม่พอใจกัน?

คนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านในนั้น เป็นใครกันแน่? เล่นใหญ่เบอร์นี้ ทำให้เซเหวินเชิงบุคคลระดับสูงผู้นี้ยอมเป็นหมาเฝ้าประตู มาคอยเฝ้าความปลอดภัย?

“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณท่านหลุย คืนนี้คงจะกำจัดไอ้โง่อย่างพวกนายสองคนทิ้งไปแล้ว!ให้ตายยังไงก็หนีไม่พ้น!” เซเหวินเชิงดุอย่างเย็นชา

พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาตกใจจนเข่าเกือบอ่อน เทียบกับท่าทีที่ทำกร่างต่อหน้าหลินอิ่งเมื่อครู่แล้ว ต่างกันมากจริงๆ

“คือ ประธานเหวิน ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไอ้เด็กหลุยหรุ่ยคนนี้มันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไปทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ไม่พอใจ ผม ผมจะพาเขาเข้าไปด้านในไปยกเหล้าขออภัยคุณหลิน” หน้าผากของหลุยเจียงเต็มไปด้วยเหงื่อพลางพูด

เพี๊ยะ!

เมื่อเพิ่งพูดจบ เซเหวินเชิงก็ยกมือขึ้นและตบลงไปอย่างแรงอีกครั้ง

ตบจนหลุยเจียงทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าแดงก่ำ

เขาคิดไม่ถึงว่า เซเหวินเชิงจะไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด บอกจะตบก็ตบ

“ขอโทษคุณหลิน? นายมีค่าพอจะยกเหล้าให้คุณหลินเหรอ? ไม่ต้องพูดถึงนายหลุยหรุ่ย ถึงพ่อนายจะมา ก็ไม่กล้าจะเดินเข้าห้องไปแม้สักก้าว กล้าลอดเข้าไป ตาย!” เซเหวินเชิงดุอย่างโกรธเกรี้ยว ทำเอาพวกหลุยหรุ่ยสองคนตกใจกลัวตัวสั่น

ล้อเล่นบ้าอะไร แม้แต่เขาเซเหวินเชิงยังไม่มีสิทธิ์ที่จะพบหน้าคุณหลินเลย

สองคนนี้ ยังอยากจะเข้าไปรินเหล้า? คู่ควรเหรอ?

“คุกเข่า” เซเหวินเชิงพูดด้วยเสียงเย็นชา “พวกนายสองคนคุกเข่าอยู่ตรงนี้ รอให้คุณหลินกับภรรยาทานข้าวเสร็จและจากไป พวกนายค่อยลุกขึ้น”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่อาจจะต้านทานเหล่านี้ ใบหน้าของหลุยหรุ่ยและหลุยเจียงก็ซีดลง

คำสั่งนี้ เหมือนว่าจะมากเกินไป มันเหมือนการเอาศักดิ์ศรีของพวกเขาสองคนมาเหยียบขยี้ลงพื้น!

“ยังไม่คุกเข่าใช่มั้ย?”

ขณะที่พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนกำลังลังเลอยู่นั้น บอดี้การ์ดข้างกายของเซเหวินเชิงก็พุ่งเข้ามาล็อกพวกเขาไว้ และรุมตีไปหนึ่งยก

ทำเอาพวกเขาสองคน ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น หดหู่ใจ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

ส่วนลูกน้องที่พวกหลุยหรุ่ยพามา ก็ถูกทำให้ตกใจไม่น้อย ไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเข้ามาช่วย

เซเหวินเชิงพวกเขาต่างรู้จัก ให้พูดก็คือเจ้าพ่อบอกอำเภอเจียงเยว่ นั่นไม่ใช่การพูดเกินจริงสักนิด

มองดูพวกหลุยหรุ่ยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น จู่ๆ บรรยากาศก็กลายเป็นมาคุอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนในที่นี้ตกใจ

พนักงานต้อนรับหญิง ตาเบิกกว้างยิ่งกว่าอีก และรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย

ที่จริงเธอคิดว่า หลุยหรุ่ยเรียกลุงสองมา เรียกคนมาเยอะขนาดนี้ จะต้องมาเล่นงานหนุ่มแซ่หลินนั่นแบบไม่พิการไม่เลิกรา

เธอยังรอดูเรื่องน่าสนุกอยู่เลย

แต่คิดไม่ถึง จู่ๆ เพียงชั่วครู่ ท่านผู้ใหญ่เซเหวินเชิงก็มา และก็ซ้อมจนพวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนลงไปคุกเข่า

ความสามารถที่น่ากลัวนี้ คุณหลินชายหนุ่มท่านนั้น เป็นผู้ใหญ่ระดับไหนกันแน่เนี่ย?

หลุยหรุ่ยกับหลุยเจียงคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับ สีหน้าเขียวปั๊ด และขายหน้าจนแดง จนอยากจะหารูมุดหนีไป

พวกเขามองสถานการณ์ความเป็นจริง เซเหวินเชิงพาคนมา เฝ้าด้านนอกห้องอาหารอย่างเคารพ ในใจก็กลัวสุดๆ

คิดอยู่ในใจ คุณหลินที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องรังสรรค์ ถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงสินะ

ไม่ต้องออกหน้า เซเหวินเชิงก็ถึงกับพาคนมาที่นี่เพื่อแสดงมารยาท

นี่จะต้องมีอิทธิพลขนาดไหน ถึงจะมีหน้าทำแบบนี้ได้กัน?

ผ่านไปสิบกว่านาที

หลินอิ่งกับจางฉีโม่พูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกมาจากห้องรังสรรค์

“คุณหลิน……ท่าน ท่านมีอะไรจะสั่งมั้ยครับ?”

เซเหวินเชิงก้มหัว พลางทักทายด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย

หลินอิ่งทำหน้าไร้อารมณ์ และมองไปรอบๆ

พวกหลุยหรุ่ยสองคนนั้นก้มหน้า ไม่กล้ามองหลินอิ่งแล้ว ใบหน้าแดงก่ำ สายตาเลิ่กลั่ก

“นายจัดการตามสมควรเถอะ” หลินอิ่งเหลือบมองเซเหวินเชิง และพูดอย่างนิ่งๆ

จากนั้น เขาก็จูงมือจางฉีโม่ และเดินลงไปข้างล่างเงียบๆ

กู่ชางไห่ได้ไปเอารถมารออยู่ด้านล่างไว้แล้ว

ทั้งสองขึ้นรถ และออกไปจากโรงแรมเครสเซนต์

หลินอิ่งออกไปอย่างเงียบ แต่ด้านในโรงแรมเครสเซนต์ บรรยากาศยังคงอึดอัดอยู่ เซเหวินเชิงมองพวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม พายุที่สั่นสะเทือนทั้งอำเภอเจียงเยว่ก็ได้เริ่มขึ้น

ควันหลงของเรื่องในคืนนี้ ทุกคนทั้งอำเภอเจียงเยว่ต่างตกตะลึง

เมื่อมาถึงระดับอย่างหลินอิ่ง แค่การกระทำเล็กน้อย เพียงครู่เดียว ก็สามารถส่งผลกระทบต่อคนนับพันหมื่นคน เปลี่ยนชะตาของพวกเขา

รถหรูสีดำกำลังขับอยู่บนถนน ตรงที่นั่งด้านหลัง มีเสียงติ๊ดๆ ดังขึ้น จู่ๆ โทรศัพท์ของจางฉีโม่ก็ดังขึ้น

“ฉีโม่ ทำไมงั้นเหรอ?” หลินอิ่งเอ่ยปากถาม

“ไม่รู้สิ ที่โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าเมื่อกี้มีคนมาเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาล ชื่อหลินชิงเย่อะไรสักอย่าง บอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ ตอนนี้รออยู่ที่โรงพยาบาลแหนะ” จางฉีโม่วางสาย ก็งงๆ สีหน้าสงสัยพลางมองหลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท