ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 672 ข้าววันนี้ไม่ต้องกินมันแล้ว

บทที่ 672 ข้าววันนี้ไม่ต้องกินมันแล้ว

“บังอาจ!ไอ้เด็กนี่ นายกล้าพูดเหลวไหลต่อหน้าประทานหลินงั้นเหรอ?”

กู่ชางไห่ตะคอกอย่างโมโห และมองคุณชายหลุยอย่างโมโห

ถ้าหากไม่ใช่ว่าอยู่ในที่สาธารณะ ความคิดฆ่าคนเขาก็มีแล้ว

ผู้อาวุโสหลินอิ่งเป็นบุคคลอะไร?

ที่เมืองหลวงอย่างตี้จิง ล้วนมีแต่พวกผู้ใหญ่ระดับสูงมากๆ นักธุรกิจ นักการเมือง ทหาร ผู้มีชื่อเสียงจากทุกสาขาอาชีพ มีใครเจอหลินอิ่งแล้วไม่เคารพบ้าง?

ฉายาคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศหลุงสิบเอ็ดเมืองแห่งเจียงเป่ยนานแล้ว

ในอำเภอเล็กๆ นี้ กลับมีคนมาลามปามเล่นหัวผู้อาวุโส และยังพูดจาอวดดีอีก!

สีหน้าของคุณชายหลุยชะงักอยู่ครู่ ถูกกู่ชางไห่ที่อยู่ดีๆ ก็ปริ๊ดแตกทำให้ตกใจ

เขาหรี่ตาของข้าง เขาเหลือบมองกู่ชางไห่ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างลังเล และมองไปที่หลินอิ่งอย่างสงสัย

จากนั้น ใบหน้าของคุณชายหลุยก็มีสีหน้าตลก

“โอ้โห? พวกนายคิดว่าฉันหลุยหรุ่ยตกใจใหญ่แล้วสินะ?” คุณชายหลุยยิ้มพลางพูดอย่างเย็นชา “ฟังจากสำเนียงของพวกนาย เป็นคนที่มาจากต่างถิ่นสินะ? คิดว่าตัวเองมีเงินนิดหน่อย ก็จะมาทำใหญ่ที่อำเภอเจียงเยว่ได้แล้วเหรอไง?”

“แถมยังกล้ามาหลอกให้ฉันตกใจอีก ไม่ส่องกระจกดูบ้างเลย ว่าพวกนายสองคนสภาพเป็นยังไง?”

หลุยหรุ่ยพูดพลางยิ้มอย่างเย็นชา ดูถูกหลินอิ่งกับกู่ชางไห่จากก้นบึ้งหัวใจ

ที่เขาคาดเดา หลินอิ่งกับกู่ชางไห่ ครึ่งนึงน่าจะเป็นคนต่างอำเภอที่ผ่านทางมาที่อำเภอเจียงเยว่ หรือไม่ก็เข้ามาทำธุรกิจ ดูจากลักษณะตระกูลคงมีพื้นเพเล็กน้อย ไม่เหมือนพวกคนรวยมีฐานะ

ไม่อย่างนั้น หลินอิ่งกับกู่ชางไห่ปรากฏตัวคงไม่ใช่ลักษณะแบบนี้

ไม่คิดดูหน่อย เขาหลุยหรุ่ยในอำเภอเจียงเยว่นั้นเป็นบุคคลชั้นสูงประเภทไหน เป็นลูกชายของนายอำเภอ ทำอะไรก็ได้ ธุรกิจก็ทำได้ยิ่งใหญ่

ในที่ของเขาแห่งนี้ เขามีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่ง

แค่คนที่มาจากต่างถิ่น หลุยหรุ่ยนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยแม้สักนิด

“นี่นายจะหาเรื่องใช่มั้ย?” กู่ชางไห่พูดอย่างโมโห

“หาเรื่อง แล้วจะทำไม? ตาแก่อย่างนาย ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ยังกล้ามาแหกปากโวยวายต่อหน้าคุณชายหลุย? แก่แล้วเลอะเลือนใช่มั้ย?”

“แม่งเอ้ย คุณชายหลุยไว้หน้าพวกแกแล้ว คุยกับพวกแกว่าจะเปลี่ยนห้อง แถมยังจะจ่ายค่าบริการของคืนนี้ให้อีก ก็ไว้หน้าเกินพอแล้ว ยังจะคิดว่าตัวเองสูงส่งจริงๆ เหรอ? แกคิดว่าพวกแกเป็นใครกัน?”

คราวนี้ หนุ่มท่าทีอันธพาลที่อยู่ด้านข้างหลุยหรุ่ยสองคน ก็คลุ้มคลั่งทันที และด่าอัดหน้ากู่ชางไห่รัวๆ

“คุณชายหลุย ไม่ต้องไปพูดดีกับพวกมันแล้ว ไอ้คนต่างถิ่นสองคนนี้ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักดูฐานะตัวเอง ยังกล้ามาแย่งห้องรังสรรค์กับท่าน” ชายคนนึงพูดเยินยอ

“ท่านพูดมาคำเดียว ผมจะเรียกพวกมา โยนพวกมันสองคนลงแม่น้ำให้พวกมันได้สติ”

ขณะที่พูด ก็มีชายฉกรรจ์ร่างหนาล้อมเข้ามา ยืนอยู่ข้างหลังหลุยหรุ่ยเพิ่มความมีอิทธิพล

ในสายตาของกลุ่มลูกน้องพวกนี้ คุณชายหลุยหรุ่ยท่านนี้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ในอำเภอเจียงเยว่ ราวกับเป็นบุคคลที่เรียกลมเรียกฝนได้

ในอำเภอเจียงเยว่ ยังมีเรื่องอะไรที่คุณชายหลุยจัดการไม่ได้?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนต่างถิ่นสองคนนี้เลย คนนึงเหมือนนักศึกษาจนๆ อีกคนก็แก่งั่ก

ท่าทีโง่ๆ แบบนี้ ยังจะกล้ามาท้าทายคุณชายหลุย?

ทำให้คุณชายหลุยไม่พอใจ ในอำเภอเจียงเยว่จะกำจัดพวกเขาสองคนทิ้งก็แค่เรื่องเล็กๆ

“เหอะๆ” หลุยหรุ่ยหัวเราะเย็นชาอย่างพอใจ ราวกับว่าจะเพลิดเพลินไปกับฉากที่ตระการตาแบบนี้เอามากๆ เขาจุดบุหรี่อย่างไม่รีบไม่ร้อน นัยน์ตามองไปที่หลินอิ่งกับกู่ชางไห่อย่างเหยียดหยาม

“ความอดทนของฉันมีขีดจำกัดเอามากๆ พวกนายสองคน ไสหัวออกไปจากโรงแรมเครสเซนต์เอง ทำเอาฉันหมดความอดทนแล้ว พวกนายไม่ต้องกินมันแล้วข้าว ไปกินปลาในแม่น้ำซะเถอะ” หลุยหรุ่ยพูดอย่างเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยการข่มขู่

เมื่อพูดเพิ่งจบ ลูกน้องข้างกายหลุยหรุ่ยพวกนั้น ก็พุ่งกรูเข้ามา จะลงไม้ลงมือกับหลินอิ่ง

“พวกนายจะทำอะไร? แถมกล้าลงไม้ลงมืออีก?” กู่ชางไห่บังข้างหน้าหลินอิ่ง และดุอย่างโมโห

เขาก็คิดไม่ถึง พวกคนกลุ่มนี้จะเหิมเกริมแบบนี้ พูดง่ายๆ พวกนี้คือกลุ่มอันธพาลชัดๆ

กู่ชางไห่อยู่ในวงการมาตั้งหลายปี ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้อย่างชัดเจน

เห็นได้ชัด ว่าคุณชายหลุยตรงหน้า ก็คือผู้มีอิทธิพลในอำเภอเจียงเยว่

คนแบบนี้ไม่ว่าที่ไหนก็มี คิดว่าตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ ไม่ว่าใครก็เกรงกลัว

ในความจริงแล้ว ก็เป็นแค่กบอยู่ในกะลาที่ไม่เคยออกไปเห็นโลกภายนอก อยู่ในกะลาของตัวเองและเรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีอิทธิพล

“ตาแก่อย่างนายยังกล้ามาขวางทาง? ถ้ายังไม่ไสหัวไป อย่ามาพูดว่าพวกฉันรังแกคนแก่กับคนเดี้ยงแล้วกัน” ลูกน้องของหลุยหรุ่ยหัวเราะลั่น เห็นหลินอิ่งกับกู่ชางไห่เป็นเรื่องน่าขัน

ในสายตาของพวกเขา ทั้งสองคนนี้ ก็เป็นแค่คนแก่และคนพิการจริงๆ

“ไสหัวไป!”

พวกชายร่างหนาพูด พลางผลักกู่ชางไห่ ผลักจนทำเอากู่ชางไห่เซถอยหลังไปสองก้าว

“ให้พวกลูกน้องเบาไม้เบามือหน่อย ไอ้เด็กนี่ดูอ่อนปวกเปียก อีกคนก็เป็นไอ้แก่หงำเหงือก อย่ามือหนักจนทำมันตายล่ะ สั่งสอนมันนิดหน่อย แล้วค่อยโยนมันออกไป” ปากของหลุยหรุ่ยคาบบุหรี่ไว้ สีหน้าหยอกเย้า

สีหน้าของกู่ชางไห่เข้มขึ้น มองไปทางหลินอิ่ง ขอสัญญาณ

หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ และพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณ

ผลั๊วะ!

วินาทีต่อมา กู่ชางไห่ออกแรงอย่างหนัก ทั้งร่างเต็มไปด้วยออร่าที่น่าสะพรึงกลัว พุ่งเข้าไปออกหมัดออกเท้า หมัดนึงชกคนจนลอยขึ้นอยู่กับที่ ส่วนเท้าที่เตะออกไปก็ทำเอาพวกชายร่างหนาพวกนั้นกระเด็นปลิวออกไปไกลหลายสิบเมตร

กวาดเรียบอย่างรวดเร็ว พวกชายร่างหนาที่พุ่งเข้ามาหาเรื่องก็ถูกกู่ชางไห่ซัดร่วง ลงไปร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น

“แก!แม่งเอ้ยดูไม่ออกเลย ว่าเป็นคนกระดูกแข็ง? ยังจะลงมือเล่นงานพวกฉัน?” สีหน้าของหลุยหรุ่ยตกใจอยู่ครู่ จากนั้นก็โมโหขึ้นมา และเขวี้ยงบุหรี่ในมือทิ้ง พลางมองหลินอิ่งอย่างโมโห

เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลในอำเภอเจียงเยว่ แต่ลูกน้องของเขากลับถูกล้มต่อหน้าผู้คน? ถ้าหากข่าวแพร่ออกไป จะขายขี้หน้าขนาดไหน?

“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใครมาจากไหน กล้าลงไม้ลงมืออัดคนอื่น รีบคุกเข่าโขกหัวรับผิดเดี๋ยวนี้!ไม่งั้น คืนนี้ฉันจะโยนพวกแกจมแม่น้ำ!” หลุยหรุ่ยสบถออกมาอย่างโมโหสุดขีด

เห็นได้ชัดว่า การกระทำของกู่ชางไห่ไม่ใช่แค่ทำให้หลุยหรุ่ยตกใจเท่านั้น แถมยังทำให้เขาโมโหขึ้นด้วย รู้สึกว่าโดนฉีกหน้า

ขณะที่พูด หลุยหรุ่ยก็ยังจับโทรศัพท์ เตรียมที่จะโทรเรียกคน

กู่ชางไห่หรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาแสดงให้เห็นคือแรงอาฆาต เขาหันไปมองหลินอิ่งอีกครั้ง มองขอสัญญาณ

บนหน้าของหลินอิ่งไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ออกมากินข้าวมื้อนึง เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่อะไรขนาดนี้

แต่ไอ้คุณชายหลุยอะไรนี่ เหมือนกับว่าไม่ยอมเลิกรา จะต้องจัดเต็มให้ได้

“หลินอิ่ง ฉันมาแล้ว หือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ในตอนนั้น ก็มีเสียงพูดหญิงหวานๆ ดังขึ้นจากที่ไม่ไกล

จางฉีโม่มาถึงห้องอาหารแล้ว มองหลินอิ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แต่หลังจากที่เห็นว่ามีบอดี้การ์ดกลุ่มนึง สีหน้าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา

การมาของจางฉีโม่ สายตาของคนที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมดก็หันไปทางเธอ

หลุยหรุ่ยขมวดคิ้วขึ้น พลางจ้องจางฉีโม่เขม็ง นัยน์ตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายและความโลภ สายตาที่มองหลินอิ่ง ก็กลายเป็นสายตาอิจฉาเล็กน้อย

“ฉีโม่ ไม่มีอะไรหรอก เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย” หลินอิ่งเดินเข้าไป พร้อมกับรอยยิ้มพลางพูด

“ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกัน ห้องจองไว้เรียบร้อยแล้ว” หลินอิ่งจับมือจางฉีโม่ และเดินไปทางห้องรังสรรค์

คุณชายหลุยนั่น เขาก็ขี้เกียจจะสนใจ มอบให้กู่ชางไห่จัดการไปแล้วกัน

“เดี๋ยวก่อน!ใครอนุญาตให้ไอ้เดี้ยงอย่างนายไปกัน?”

“ไม่มาขอโทษกับฉันดีๆ !วันนี้นายก็อย่าได้คิดจะกินข้าวเลย!”

หลุยหรุ่ยพูดเสียงเย็นชา พลางพาคนสองคนไปขวางหน้าหลินอิ่ง

เขายังเหลือบมองจางฉีโม่ด้วยสีหน้าหยอกเย้า และพูดหยอก: “สาวสวยท่านนี้ ไอ้คนพิการโง่ๆ นี่ คงไม่ใช่แฟนเธอหรอกใช่มั้ย? สาวสวยมีสไตล์อย่างเธอ ฉันคิดว่าไม่ควรมีแฟนเป็นไอ้เดี้ยงแบบนี้เลยจริงๆ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน