ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 676 จะสอนนายให้

บทที่ 676 จะสอนนายให้

หลินชิงเย่ไม่เข้าใจ ว่าหลินอิ่งไปเอาความกล้านี้มาจากไหน หรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้นั้นยากลำบากงั้นเหรอ?

ทั้งตี้จิง รวมไปถึงเมืองชิงหยูน กำลังคนและรากฐานของหลินอิ่งได้ถูกตระกูลหลินควบคุมไว้ทั้งหมดแล้ว

กำลังที่หลินอิ่งสามารถระดมได้นั้น ก็มีแค่ที่ฝั่งเมืองก่างมีคนต่างชาติคอยดูแลหลินซื่อกรุ๊ปที่นั้น

แล้วก็มีนิ่งซวนที่ดูแลเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอยู่ที่ตี้จิง

กำลังเล็กน้อยแค่นี้ จะมาสู้กับตระกูลหลินแห่งลังยาที่ยิ่งใหญ่ได้ยังไง?

ส่วนตัวของหลินอิ่ง ถึงแม้จะมีศิลปะการต่อสู้ระดับที่แข็งแกร่งดีเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับตระกูลหลินแล้ว เทียบกันไม่ได้ราวฟ้ากับเหวจริงๆ

“หลินอิ่ง นายประเมินตัวเองสูงไปมั้ย? คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นในโลกงั้นจริงๆ และไม่มีใครทำอะไรได้งั้นสิ?” หลินชิงเย่หัวเราะอย่างเย็นชา “เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นายยังไม่รู้ถึงความแตกต่างของตัวเองกับตระกูลหลินแห่งลังยาอีกเหรอ?”

“บริษัททั้งหมดของนายในตี้จิง รากฐานของนายทั้งหมดในเมืองชิงหยูน รวมไปถึงลูกน้องของนาย ทั้งหมดถูกคนของฉันควบคุมไว้หมดแล้ว” หลินชิงเย่พูดอย่างเย็นชา “นายยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ ว่าที่จริงแล้วใช้เป็นคนคุมเกม?”

“ยังจะมาพวกเย่อหยิ่งกับฉันตรงนี้?” หลินชิงเย่พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าแม่เฒ่าสั่งมาว่าให้ไว้ชีวิตนาย ตอนนี้ฉันจะฆ่านายซะ!”

“ฆ่าฉัน?” หลินอิ่งส่ายหัว มุมปากยกยิ้มอย่างเย็นชา

“หลินชิงเย่ ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ นายกล้าฆ่าฉันมั้ย?”

หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ และมองหลินชิงเย่อย่างนิ่งๆ

“ห้ะ?”

หลินชิงเย่รูม่านตาหดลง พลางมองหลินอิ่งที่มีท่าทีไร้ซึ่งความกลัว

ขณะเดียวกับที่ในใจของเขาโมโห ก็มีความรู้สึกที่น่ากลัวแปลกๆ

ในทางกลับกันท่าทีที่ดูสงบของหลินอิ่ง มันไปกระตุ้นความระมัดระวังตัวในใจเขาอย่างมาก

เรื่องแรก เขาตรวจสอบเรื่องความสามารถในการต่อสู้ของหลินอิ่ง มันก็จริงที่เขามีฝีมือดีสุดๆ

ลูกน้องของหลินอิ่ง ก็ได้ถูกจัดการอย่างเรียบร้อย

แม้กระทั่ง ก่อนที่หลินอิ่งจะซ่อนตัว ทำให้หลินชิงเย่ดูแคลนในใจ รู้สึกว่าหลินอิ่งก็แค่ คนขี้กลัวคนหนึ่งเท่านั้น

หลินชิงเย่วิ่งไปครึ่งประเทศหลุง ไล่ตามฆ่าหลินอิ่งไปทั่ว

ด้วยเหตุนี้ที่จัดการกวาดล้างอิทธิพลของหลินอิ่ง ก็เพื่อบีบบังคับให้หลินอิ่งโผล่ออกมา

แต่เมื่อหลินอิ่งปรากฏตัวออกมาจริงๆ กลับกันเป็นเขาที่กลัวไปก่อน……

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้หลินชิงเย่รู้สึกไม่พอใจ รัศมีของเขากลับถูกหลินอิ่งเกทับเฉยเลย?

“นายคิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่กล้าฆ่านาย?” หลินชิงเย่พูดเสียงเย็นชา “ถึงแม้แม่เฒ่าจะมีคำสั่งให้เก็บชีวิตนายไว้ แต่ฉันก็สามารถทำให้นายเดี้ยงได้!”

“งั้นนายลองลงมือดูสิ” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ “ให้ตระกูลหลินเอาคนที่สามารถคุยได้มา นายยังไม่มีค่าพอที่จะคุยกับฉัน”

แค่คำพูดไม่กี่คำ หลินอิ่งก็ได้ข้อสรุป เกี่ยวกับหลินชิงเย่แล้ว

เขาคือชายหนุ่มฝีมือดี แต่ก็เป็นแค่หมากตัวนึง ตัดสินใจเรื่องในตระกูลหลินไม่ได้

แค่ลูกน้องที่ทำงานบ้าระห่ำเท่านั้น

คนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังจริงๆ ยังมีคนอื่น

ในใจของหลินอิ่งคาดเดาถึงคนในตระกูลหลินแห่งลังยาทุกคน

แม่เฒ่าตระกูลหลินต้องการเรียกตนกลับไปที่ตระกูล ในนั้นต้องมีคนขัดขวางแน่ๆ

ฉวยโอกาสที่ตนไม่อยู่ ควบคุมอิทธิพลในตี้จิงก็ดี กวาดล้างเมืองตุงไห่ก็ดี ทั้งหมดล้วนแต่เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่งของตระกูลหลิน

“หลินอิ่ง นายปากดีนักนะ ช่างบ้าบอไร้ขอบเขตจริงๆ !” หลินชิงเย่พูดอย่างโมโห

คำพูดของหลินอิ่ง แทงใจดำเขา ขณะที่เขาโมโห ก็ทำให้เขารู้สึกอัปยศ

ใช่แล้ว เขาไม่กล้าฆ่าหลินอิ่ง……

ท่าทีที่แม่เฒ่ามีต่อหลินอิ่ง ก็คืออยากให้หลินอิ่งกลับตระกูลหลิน และเห็นความสำคัญของหลินอิ่งมากๆ

และพอดีกับที่แม่เฒ่านั้นให้ความสำคัญ จึงไปกระตุ้นความไม่พอใจของฝ่ายอื่นในตระกูลหลิน และคิดที่จะตัดไม้ข่มหนาม

แต่หลินอิ่ง แค่แว๊บเดียวก็มองออก แถมยังคิดว่าต้องพึ่งพา วางมาดได้

มันทำให้หลินชิงเย่รู้สึกว่าถูกคนมองออก ในใจรู้สึกกดดันไม่น้อย

เขาไม่รู้ว่า เผชิญหน้ากับหลินอิ่ง มีความรู้สึกเหมือนต้องเผชิญหน้ากับผู้นำตระกูลหลิน

รู้สึกว่ารัศมีถูกกดไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อก่อน ในสายตาของหลินชิงเย่ หลินอิ่งอย่างมากก็เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางโลกเท่านั้น

เพิ่งจะมีค่าพอที่จะเข้าธรณีประตูตระกูลหลิน

แต่วันนี้เห็นที่ หลินอิ่งดูเหมือนจะเข้าใจยาก ผู้ชายคนนี้มีท่าทีที่น่าตกใจและลึกลับ

เรื่องท่าที ที่ลึกซึ้งและเข้าใจยาก มันปลอมออกมาได้ โดยไม่มีอะไรเลย

มันต้องเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่ธรรมดา ถึงจะสามารถขัดเกลากันได้

“ฉันจะดูนายหน่อย ว่านายแน่แค่ไหน ถึงได้กล้าสามหาวเช่นนี้!”

ดวงตาของหลินชิงเย่มีความเย็นชาแว๊บขึ้นมา และทันใดนั้นก็ลงมือทันที

เสียงดังปัง เขาพุ่งตัวออกมาจากตรงนั้นราวกับยิงลูกธนู และพุ่งตัวเข้าใส่หลินอิ่งทันที เขายกมือขึ้นไปในอากาศ ลมแปรปรวน จนเกิดเสียงหวิว

“บังอาจ!”

เพียงชั่วสายฟ้าแลบ กู่ชางไห่ก็พุ่งมาจากด้านข้างตัวหลินอิ่งอย่างรวดเร็ว

กู่ชางไห่ยกมือขึ้นไปบนอากาศ อยู่บนอากาศกับมือของหลินชิงเย่

เสียงดังปึ้ก ลมพัดผ่าน

วินาทีต่อมา เงาร่างสองทั้งสองคนก็กระทบและถอยห่างกัน ออกมาช่วงนึง

“อืม?”

หลินชิงเย่ถูกตีจนถอยกลับไปที่เดิม ขมวดคิ้ว และมองกู่ชางไห่อย่างเย็นชา รอยยิ้มดูแคลนปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

“คนที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในการจัดอันดับ ยังจะกล้ามาเผชิญหน้ากับฉัน?” หลินชิงเย่พูดอย่างโอ้อวด ระหว่างที่พูด ก็ไม่ได้สนใจกู่ชางไห่

เพียงฝ่ามือนึง กู่ชางไห่ก็ถูกตีจนถอยกลับไปอยู่ข้างหลังหลินอิ่ง ร่างเซไปเซมา แล้วหายใจหอบ เห็นได้ชัดว่ารับมือกับฝ่ามือนี้ไม่ไหว

เขามองไปทางหลินชิงราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู บนหน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ

หลังจากปะทะกัน ความสามารถของทั้งสองฝ่ายก็เห็นได้แล้ว

“ทำไม? หลินอิ่ง นี่คือความสามารถที่นายมาท้าทายฉัน?” หลินชิงเย่ยิ้มอย่างเย็นชา

“ไม่มีลูกน้องแล้วเหรอ? ถึงได้ให้ตาเฒ่าที่ฝีมือใช้ไม่ได้มาสู้กับฉัน?”

“ไอ้แก่อย่างนาย ฉันใช้มือข้างเดียว นายก็สู้ฉันไม่ได้”

หลินชิงเย่ยิ้มเยาะ ท่าทีดูโอ้อวดพลางพูดดูถูกกู่ชางไห่

กู่ชางไห่ทำหน้าเข้มสุดๆ ใบหน้าแก่ๆ ก็แดงก่ำขึ้น

เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินชิงเย่

ยอดฝีมือระดับเดียวกัน ก็มีแบ่งสูงต่ำ

หลินชิงเย่อยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับ อยู่ในระดับชั้นกลางเบนไปทางสูง เมื่อเทียบกับเย่เฮยและหวงชิงซาน อาจจะแข็งแกร่งกว่าขั้น

ส่วนกู่ชางไห่ ก็แค่เพิ่งจะอยู่ในอันดับขั้น ไม่เพียงพอที่จะล้มตำแหน่งได้จริงๆ

“หลินอิ่ง ฉันว่านายลงมือเองเถอะ ฉันล่ะอยากจะเห็นฝีมือของนายจริงๆ คงจะไม่ใช่แค่จะทำให้ฉันตกใจเท่านั้นสินะ?” หลินชิงเย่พูดจากวนๆ

หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา ว่า: “สู้กับฉัน นายยังไม่คู่ควร”

“ฮ่าๆๆ !” หลินชิงเย่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาแสดงความโหดเหี้ยม “หลินอิ่ง นายกลัวเหรอ? ถึงได้หดหัว?”

“ฉันคิดว่านายจะมีความสามารถขนาดไหน ที่แท้ก็แค่โอ้อวด ไม่กล้าขยับสักนิด”

“ถ้ากลัวแล้ว ก็คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ แล้วขออภัยโทษ กับผู้ใหญ่ตระกูลหลินสองท่านที่นายทำร้ายไป!”

“กลัว?” หลินอิ่งส่ายหน้า แล้วมองไปทางกู่ชางไห่ “นายเข้าไปสู้กับเขา”

“เหอะๆ นายไม่ยอมสู้เอง ถึงให้ไอ้แก่มาสู้กับฉัน?” หลินชิงเย่ชะงักอยู่ครู่ หลังจากนั้นก็ยิ้มอย่างดูถูก “นายกลัวแล้วจริงๆ สินะ!ฮ่าๆๆ !”

กู่ชางไห่สีหน้าเลิ่กลั่ก นัยน์ตาซับซ้อน ก็ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของแม่เฒ่า

“ผู้อาวุโส ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ จะทำให้ผู้อาวุโสขายหน้า……” กู่ชางไห่พูดเสียงเบา พลางทำสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันจะสอนนายให้ รับมือกับหลินชิงเย่ ไม่ใช่ปัญหา” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท