ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 660 มาโดยไม่ได้รับเชิญ

บทที่ 660 มาโดยไม่ได้รับเชิญ

หลินอิ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล มีผ้าพันแผลทั่วร่างกาย และมีสายห้อยระโยงระยาง แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นร้ายแรงเป็นอย่างมาก

มีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น

แม้ว่าเขาจะนอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่ยังเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

จางฉีโม่รู้สึกกังวล ดวงตาของเธอดูซับซ้อน เธอมองไปที่หลินอิ่งอย่างเงียบ ๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจมากมาย

ที่หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพราะไปช่วยเธอ

ตอนนี้สิ่งที่เธอคิดคือสวดมนต์อ้อนวอนให้หลินอิ่ง และหวังว่าหลินอิ่งจะตื่นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

ตามที่แพทย์กล่าว

อาการบาดเจ็บของหลินอิ่งแปลกมาก อวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นคนธรรมดาคงตายไปนานแล้ว

แต่หลินอิ่งมีจังหวะการเต้นของหัวใจแสดงให้เห็นถึงการมีชีวิต เพียงแต่เขายังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมาเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่สามารถที่จะค้นหาสาเหตุของอาการบาดเจ็บและการหมดสติของหลินอิ่งได้

แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา และชีวิตที่เหลืออาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดไป

ตอนนี้หลินอิ่งนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อการสังเกตอาการ

“คุณจาง รบกวนคุณออกไปก่อน พวกเราจะเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนยา และทำการตรวจร่างกายสามีของคุณ”

ขณะนี้ แพทย์วัยกลางคนในชุดขาวเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลสองคนที่ถือถาดยา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ค่ะ ได้ค่ะ” จางฉีโม่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ไม่อยากรบกวนแพทย์ที่จะทำการรักษาหลินอิ่ง

“คุณหมอหลิว ตอนนี้อาการของหลินอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง? ร่างกายของเขาดีขึ้นหลังจากการผ่าตัดหรือไม่” จางฉีโม่ถามด้วยความเป็นห่วง

คุณหมอหลิวขมวดคิ้วและกล่าวอย่างครุ่นคิด “คุณจาง คุณถามคำถามนี้มาหลายครั้งแล้ว”

“ฉันสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนในครอบครัวผู้ป่วยอย่างเช่นคุณ แต่ฉันยังต้องบอกคุณอย่างตรงไปตรงมาเพื่อที่คุณจะได้เตรียมใจ”

“อาการบาดเจ็บของนายหลินอิ่งนั้นรุนแรงมาก และสภาพร่างกายของเขานั้นซับซ้อนมาก ไม่สามารถทำการวินิจฉัยสาเหตุเฉพาะได้ และด้วยระดับฝีมือของหมอในโรงพยาบาลประจำอำเภอของเรา ไม่มีทางที่จะรักษาให้เขาฟื้นขึ้นได้”

“สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือ รักษาชีวิตของคุณหลินอิ่งเอาไว้”

“คุณจาง ฉันยังแนะนำให้คุณติดต่อโรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดและเมืองต่าง ๆ เพื่อดูว่าสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคุณหลินอิ่งได้หรือไม่”

คุณหมอหลิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณหมอหลิว” จางฉีโม่พยักหน้า

หลังจากนั้น คุณหมอหลิวก็เดินเข้าไปหาผู้ป่วย แล้วปิดผ้าม่าน และเริ่มช่วยหลินอิ่งเปลี่ยนยา เปลี่ยนเสื้อผ้าและตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ

จางฉีโม่เหลือบมองหลินอิ่งแวบหนึ่ง ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยแล้วเดินไปตรงทางเดิน

หลังจากที่หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ

สมองของเธอก็ว่างเปล่า และเธอตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาหลายวัน

ในความรู้สึกของเธอนั้น หลินอิ่งเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ สุขุมนิ่ง และดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ และสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้

เป็นเพราะเธอที่ทำให้เขานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และเขาอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต

จางฉีโม่คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เธอจะตำหนิตนเองและรู้สึกผิด

“ฉีโม่ อาการของหลินอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง?”

ขณะนี้ จางซิ่วเฟิงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงริมทางเดินได้ถามขึ้น

“ใช่ ฉีโม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ? ช่วงนี้ลูกหายไปไหนมา หลินอิ่งมาที่อำเภอเจียงเยว่ตั้งแต่เมื่อใด เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร” ลู่หย่าฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัย

ลู่หย่าฮุ่ยและสามีของเธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์

คืนนั้นหลังจากที่พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากหลินอิ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ และพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าหลินอิ่งกลับมาที่อำเภอเจียงเยว่

อย่างไรเสีย ฉีโม่ลูกสาวของตนเองอยู่ที่นี่ หลินอิ่งไม่สามารถทนเห็นลูกสาวของตนเองถูกรังแกได้อย่างแน่นอน

ลู่หย่าฮุ่ยยังจินตนาการว่า เมื่อหลินอิ่งมาอำเภอเจียงเยว่แล้ว จะรับครอบครัวพวกเขากลับไปใช้ชีวิตเสพสุขในตี้จิง

แต่เธอไม่คาดคิดว่า สถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้?

หลินอิ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในอำเภอ ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ?

ช่วงหลายวันนี้ลูกสาวของตนเองหายตัวไป มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

“ลูกอย่าโศกเศร้ามากนัก ช่วงหลายวันที่ผ่านมามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แม่รู้สึกว่าร่างกายลูกทรุดโทรมไปมาก?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม

“หลินอิ่งเป็นคนที่มีเส้นสายอยู่ในเมืองชิงหยูน และมีผู้คุ้มกันคอยติดตาม แล้วทำไมเขาถึงถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ และรับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่าได้อย่างไร” จางซิ่วเฟิงถามด้วยความสงสัย

จางฉีโม่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน

เรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาเจียงเยว่ ได้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติต่อโลกของเธอไปแล้ว

มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก

ไม่เพียงแต่ความโหดเหี้ยมชั่วร้ายของกลุ่มเหวินเทียนเฟิ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวที่คนเหล่านั้นแสดงออกมา

แค่คนธรรมดาประสบกับเรื่องราวนั้น ก็รู้สึกตกใจกลัวจนหัวใจแทบวาย

จางฉีโม่ต้องการเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง แต่เธอกลัวว่าพ่อแม่จะไม่เข้าใจ

นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับความลับของหลินอิ่งด้วย

แม้แต่ชายชราที่แซ่กู่ก็กล่าว ขอให้คุณนายหลิน อย่าเปิดเผยเรื่องของคุณหลินให้คนภายนอกรู้ เพื่อไม่ให้เกิดความหายนะ

โดยเฉพาะขณะที่หลินยังไม่ได้สติ จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“ไม่มีเรื่องอะไรคะ หลินอิ่งมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น หลังจากนั้นก็เกิดปัญหา…….มันจึงกลายเป็นเช่นนี้” จางฉีโม่นึกข้อแก้ตัวและกล่าวอย่างคลุมเครือ

“มีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น? เขาเป็นคนที่ไหน? แจ้งตำรวจหรือยัง?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม

“เรื่องนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล คนของหลินอิ่งกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่…..” จางฉีโม่กล่าว

“อ้อ คนของหลินอิ่งสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย

หลังจากได้เห็นพลังอำนาจของหลินอิ่งด้วยตนเองแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่กล้าที่จะใช้ทัศนคติก่อนหน้านั้นมองหลินอิ่งอีก

เพราะอย่างไรเสีย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบหลินอิ่ง แต่เธอก็ต้องอาศัยความมั่งคั่งของหลินอิ่ง

“เมื่อสักครู่ พ่อได้ยินคุณหมอบอกว่า หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า?” จางซิ่วเฟิงถาม

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จางฉีโม่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ค่ะ คุณหมอกล่าวเช่นนั้น…….. ”

“เฮ้อ ไม่รู้ว่าหลินอิ่งจะสามารถตื่นได้ไหม” ลู่หย่าฮุ่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ลูกช่างโชคร้ายจริง ๆ เมื่อก่อนแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่ง และต้องใช้ชีวิตที่ทุกข์ทรมานหลายปี”

“มันไม่ง่ายเลยที่หลินอิ่งจะโชคดี กลับไปสู่ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เฮ้อ….”

ลู่หย่าฮุ่ยถอนหายใจ ซึ่งดูเหมือนกำลังเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

“ฉีโม่ ถ้าคนในครอบครัวของหลินอิ่งตามมา ลูกต้องทำตัวดี ๆ เพราะไม่ว่าจะยังไง ตระกูลหลินนั้นก็มีทรัพย์สมบัติเป็นมากมาย ขอแค่ลูกทำให้ครอบครัวพวกเขาพอใจ ชีวิตที่เหลือของครอบครัวพวกเราก็มีหลักประกันแล้ว……”

ลู่หย่าฮุ่ยยังคงคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรต่อ

“คุณแม่ จนถึงขณะนี้แล้ว แม่ก็อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองพวกนั้นอีกได้ไหม?” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโกรธเล็กน้อย

“หย่าฮุ่ย ซิ่วเฟิง พวกคุณอยู่ที่นี่เอง”

ขณะนี้ เสียงหยอกเย้าของผู้หญิงคนหนึ่งดังจากทางเดิน

ครอบครัวลู่ฉ่ายเชียมาแล้ว เธอซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หย่าฮุ่ย

ถือตะกร้าผลไม้อยู่ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความที่เย้ยหยันและรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท